ลองนั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เป็นอยู่ และกำลังจะเป็นไป ในช่วงเวลาสั้นๆของยามค่ำคืน แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองมาอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ว่า เราเกิดมาทำไม มีอะไรที่เราต้องการทำบนโลกใบนี้บ้าง ภารกิจ(ทางจิตวิญญาณ)ของเราคืออะไร เป้าหมายสูงสุดในชีวิตในชาตินี้ของเราคืออะไร แล้วตัวเราได้เข้าใกล้เป้าหมายนั้นไปแล้วบ้างหรือยัง
ในหลายขวบปีที่ผ่านพ้นมานั้นบางคำถามก็อาจได้พบพานคำตอบ บางคำถามก็ยังคงดำรงอยู่ภายใน เฝ้ารอคอยคำตอบอย่างอดทน จำได้ว่าตอนที่เยาว์วัยกว่านี้ เราเร่งร้อนที่หาคำตอบต่างๆให้เจอเร็วๆ อยากรู้เร็วๆ จะได้รีบๆ ทำ จะได้รีบๆบรรลุเป้าหมายชีวิตเหล่านั้นโดยเร็ว มีชีวิตก็ต้องรีบใช้ ต้องรีบทำ ต้องรีบลองเรียนรู้และแสวงหาประสบการณ์ เป็นมนุษย์ผู้หิวโหยประสบการณ์
มาบัดนี้อายุมากขึ้น เราเริ่มช้าลง ความร้อนรนเริ่มจางคลาย ความอดทนในการเฝ้ารอมีมากขึ้น เริ่มละเลียดในการผ่านพ้นวันคืนและการใช้ชีวิตมากขึ้น เริ่มตระหนักว่าหลายๆคำถามที่มีอาจจะยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนตอบ พี่ที่นับถือคนหนึ่งเคยบอกว่า "อย่าฆ่าคำถามดีๆ ด้วยคำตอบห่วยๆ" และคำถามดีๆบางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเสมอไป ใช่หรือไม่?
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า การเร่งร้อนแสวงหาประสบการณ์ในวัยเยาว์เป็นสิ่งไม่ดี การช้าลงและเฝ้ารอในตอนนี้ดีกว่า สำหรับเราแล้ว การใช้ชีวิตทั้งสองแบบแม้จะแตกต่าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเฉกเช่นเดียวกัน ในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการทดลองเรียนรู้ที่เราชื่นชอบทั้งสิ้น
เราค้นพบว่า สิ่งหนึ่งที่เราปรารถนามาตลอดคือ อิสระภาพ การใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ ความเบิกบาน-ความมั่นคงภายใน การบรรลุธรรม(เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง) การได้ช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้เติบโตและค้นพบความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง และความสามารถที่จะรักมนุษย์ทุกคนได้เหมือนอย่างที่จักรวาลรัก
เราได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากครูทางธรรมคนแรกในชีวิต ท่านเป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจให้เราเลือกที่จะเป็นครูเช่นเดียวกันนั้นให้กับคนอื่นๆต่อไป เราปรารถนาว่า เราได้สร้างแรงบันดาลให้กับผู้คนในการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความสุขภายในที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มั่นคงยิ่งกว่า ความสุขนั้นเปรียบได้กับแหล่งน้ำพุทางจิตวิญญาณที่ไหลรินพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
และการเป็นครูทางจิตวิญญาณนั้น มิได้ผูกติดยึดโยงหรือตีกรอบอยู่ภายใต้ศาสนาใดๆ หากแต่เปิดรับและน้อมรับคำสอนและสัจจะธรรมที่ดำรงอยู่ในทุกๆศาสนาอย่างให้ความเคารพ ไม่แตกต่างกัน เป็นสัจจะที่เป็นกลางเป็นสากลของมนุษยชาติ
จนถึงบัดนี้เราก็ยังไม่รู้หรอกว่า เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ด้วยวิธีการใด อย่างไรหรือเมื่อไหร่ แต่มันคือความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆภายในใจว่า หากสิ่งที่เราปรารถนานั้นเป็นสิ่งดีงามและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติแล้วไซร้ จักรวาลจะจัดสรรโอกาสและเส้นทางมาให้แก่เราเอง เส้นทางนั้นจะปรากฎในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรารู้ดีว่าเราอยู่บนเส้นทางและอยู่ในแผนการของจักรวาล ดำรงอยู่มาแล้วเสมอมา ตลอดเวลา
ในหลายขวบปีที่ผ่านพ้นมานั้นบางคำถามก็อาจได้พบพานคำตอบ บางคำถามก็ยังคงดำรงอยู่ภายใน เฝ้ารอคอยคำตอบอย่างอดทน จำได้ว่าตอนที่เยาว์วัยกว่านี้ เราเร่งร้อนที่หาคำตอบต่างๆให้เจอเร็วๆ อยากรู้เร็วๆ จะได้รีบๆ ทำ จะได้รีบๆบรรลุเป้าหมายชีวิตเหล่านั้นโดยเร็ว มีชีวิตก็ต้องรีบใช้ ต้องรีบทำ ต้องรีบลองเรียนรู้และแสวงหาประสบการณ์ เป็นมนุษย์ผู้หิวโหยประสบการณ์
มาบัดนี้อายุมากขึ้น เราเริ่มช้าลง ความร้อนรนเริ่มจางคลาย ความอดทนในการเฝ้ารอมีมากขึ้น เริ่มละเลียดในการผ่านพ้นวันคืนและการใช้ชีวิตมากขึ้น เริ่มตระหนักว่าหลายๆคำถามที่มีอาจจะยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนตอบ พี่ที่นับถือคนหนึ่งเคยบอกว่า "อย่าฆ่าคำถามดีๆ ด้วยคำตอบห่วยๆ" และคำถามดีๆบางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเสมอไป ใช่หรือไม่?
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า การเร่งร้อนแสวงหาประสบการณ์ในวัยเยาว์เป็นสิ่งไม่ดี การช้าลงและเฝ้ารอในตอนนี้ดีกว่า สำหรับเราแล้ว การใช้ชีวิตทั้งสองแบบแม้จะแตกต่าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเฉกเช่นเดียวกัน ในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการทดลองเรียนรู้ที่เราชื่นชอบทั้งสิ้น
เราค้นพบว่า สิ่งหนึ่งที่เราปรารถนามาตลอดคือ อิสระภาพ การใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ ความเบิกบาน-ความมั่นคงภายใน การบรรลุธรรม(เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง) การได้ช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้เติบโตและค้นพบความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง และความสามารถที่จะรักมนุษย์ทุกคนได้เหมือนอย่างที่จักรวาลรัก
เราได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากครูทางธรรมคนแรกในชีวิต ท่านเป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจให้เราเลือกที่จะเป็นครูเช่นเดียวกันนั้นให้กับคนอื่นๆต่อไป เราปรารถนาว่า เราได้สร้างแรงบันดาลให้กับผู้คนในการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความสุขภายในที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มั่นคงยิ่งกว่า ความสุขนั้นเปรียบได้กับแหล่งน้ำพุทางจิตวิญญาณที่ไหลรินพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
และการเป็นครูทางจิตวิญญาณนั้น มิได้ผูกติดยึดโยงหรือตีกรอบอยู่ภายใต้ศาสนาใดๆ หากแต่เปิดรับและน้อมรับคำสอนและสัจจะธรรมที่ดำรงอยู่ในทุกๆศาสนาอย่างให้ความเคารพ ไม่แตกต่างกัน เป็นสัจจะที่เป็นกลางเป็นสากลของมนุษยชาติ
จนถึงบัดนี้เราก็ยังไม่รู้หรอกว่า เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ด้วยวิธีการใด อย่างไรหรือเมื่อไหร่ แต่มันคือความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆภายในใจว่า หากสิ่งที่เราปรารถนานั้นเป็นสิ่งดีงามและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติแล้วไซร้ จักรวาลจะจัดสรรโอกาสและเส้นทางมาให้แก่เราเอง เส้นทางนั้นจะปรากฎในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรารู้ดีว่าเราอยู่บนเส้นทางและอยู่ในแผนการของจักรวาล ดำรงอยู่มาแล้วเสมอมา ตลอดเวลา