Thursday, February 25, 2010

Short Movie: Nightshift

A bird and a bat live as neighbours, sharing a tree. Their different lifestyles cause trouble.





Friday, February 12, 2010

มืดและสว่าง


ฉันยินยอมให้ตนเองโอบกอดทั้งด้านมืดและด้านสว่างภายในตัวฉัน


มองเห็นความเป็นนางมารร้ายภายใน


รู้สึกสะใจเมื่อได้เห็นหน้ามารชัดๆ รับรู้การมีอยู่ของมารเป็นขณะๆไป


รู้สึกเบิกบานเมื่อได้เห็นด้านสว่าง รับรู้การมีอยู่ของด้านสว่างที่ปรากฏให้เห็นเป็นขณะๆ ไป


ไม่ผลักไส ไม่ใฝ่หา* ไม่ชิงชัง ไม่ดึงดัน ไม่กดข่ม


ยอมรับสภาวะที่ปรากฏอย่างที่เห็นและเป็นอยู่


มืดหรือสว่างล้วนไม่แตกต่างกัน เป็นสภาวธรรมที่ไม่เที่ยง


เกิด-ดับเรื่อยไป ไม่อาจทนอยู่ได้นาน


การเฝ้ามองเช่นนี้เกื้อกูลให้ฉันละวางการตัดสินที่มี


ไม่รู้สึกเกลียดชังตนเอง หากแต่มั่นคงขึ้น รักและเคารพตนเองมากขึ้น


เมื่อฉันละวางการตัดสินตนเองได้มากขึ้น ฉันก็ละวางการตัดสินผู้อื่นได้มากขึ้น


เมื่อฉันมีพื้นที่ภายในที่จะรักและเคารพตนเองมากขึ้น


ฉันก็มีพื้นที่ภายในที่จะรักและเคารพผู้อื่นได้มากขึ้นเช่นกัน


ฉันโอบกอดทั้งด้านมืดและด้านสว่างภายในตัวฉัน...

หมายเหตุ*คำว่าไม่ผลักไส ไม่ใฝ่หา ขอยืมมาจากชื่อหนังสือของพระไพศาล นะเจ้าคะ ^_^
ปกติเขียนบันทึกสั้นๆไม่เป็น เขียน Journal ทีไรก็พร่ำพรรณนาเสียยืดยาว วันนี้ลองหัดเขียนสั้นๆดูบ้าง

Tuesday, February 9, 2010

Movie Review: Tokyo Sonata


โตเกียว โซนาต้า บอกเล่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมในครอบครัวชนชั้นกลางญี่ปุ่นในยุคทุนนิยมเสื่อมสลายในมหานครโตเกียว ทุกๆครอบครัวล้วนมีความลับที่เก็บงำไว้ หนังสะท้อนถึงความรู้สึกขมขื่น คับแค้นใจของตัวละครแต่ละคนที่เก็บงำปัญหาของตนเองไว้เป็นความลับ



เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อ”ริวเฮย์”หัวหน้าแผนกธุรการของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ถูกบีบให้ออกจากบริษัทที่ตนทำงานรับใช้มานานปีอย่างไม่คาดฝัน เขารู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นใจ แต่ก็พยายามปกปิดไม่ให้ภรรยาและลูกๆรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการใส่สูทถือกระเป๋าเอกสารแสร้งทำเป็นออกจากบ้านเพื่อไปทำงานทุกวัน แต่แท้จริงแล้วเขาได้แต่เตร่ไปมาเพื่อหางานใหม่ทำซึ่งก็หาได้ยากยิ่งนักสำหรับคนอายุมากเช่นนี้ บางครั้งเขาก็ไปต่อแถวเพื่อรับอาหารจากโรงทานข้างถนนประทังความหิว



ในขณะที่เขาพยายามรักษาสถานภาพและอำนาจภายในครอบครัวอย่างยิ่งยวดนั้น เขากลับไม่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศภายในบ้านของเขาช่างอึดอัดและห่างเหิน ไม่มีบทสนทนาใดๆบนโต๊ะอาหารมานานแล้ว “ทากะ” ลูกชายคนโตแทบจะไม่กลับบ้านมาให้เห็นหน้า และเลือกที่จะสมัครไปเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ ส่วน “เคนจิ” ลูกชายคนเล็กพยายามดิ้นรนที่จะเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองและทำในสิ่งที่ตนรักคือการเรียนเปียโนแม้ว่าจะขัดคำสั่งของพ่อก็ตาม “เมกูมิ” ภรรยาผู้ทำหน้าที่รับใช้สามีและลูกชายทั้งสองคนโดยไม่มีปากเสียงใดๆ มานานหลายสิบปี รู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง ประดุจว่าชีวิตของเธอเองก็ถูกดูดดึงให้จมลงไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทางออก



หนังกำลังบอกเราว่า เราทุกคนล้วนถูกกดทับด้วยบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็น สิ่งนั้นอาจเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ บทบาททางสังคมที่เราต้องเล่นและแสดงต่อไป หรืออาจเป็นโครงสร้างอันอยุติธรรมของสังคมและวัฒนธรรมที่เราดำรงอยู่ ในหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับคิโยชิ คุโรซาวะ ยังคงจับประเด็นถนัดของตัวเอง นั่นคือ การวิพากษ์ “ความเสื่อมของยุคสมัย”, “บทบาทกับค่านิยมที่เปลี่ยนไป” และ “มุมมองความคิดของคนต่างยุคต่างวัย”



กระนั้นหนังก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อทุกคนได้เดินไปจนถึงทางตันแห่งชีวิต และประสบกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดจนดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออกใดๆหลงเหลืออีกต่อไป เมื่อเราไปถึงจุดที่เรายอมจำนนต่อชีวิต ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ยอมละวางความคิดความเชื่อแบบเดิมที่เคยมี ยอมละทิ้งวิธีการแบบเก่าๆที่เคยยึดมั่น ปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการ การเริ่มต้นใหม่ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่างเงียบๆแต่งดงาม



ความรู้สึกตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ ฉันรู้สึกว่า Tokyo Sonata เป็นหนังที่เศร้ามาก (โคตรเศร้าเลย แต่ร้องไห้ไม่ออกสักแอะ) เป็นความเศร้าและเจ็บปวดใจอยู่ข้างในอย่างเงียบๆ เป็นความเศร้าที่เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอึดอัดและกดดัน กระนั้นหนังก็มีวิธีการเล่าเรื่องเศร้าที่งดงามในแบบของมัน ฉันชอบบรรยากาศและวิธีการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ เพราะสามารถทำให้เราสัมผัสได้ถึงความทุกข์ที่แฝงอยู่ภายใต้บรรยากาศและการกระทำที่ดูแสนจะธรรมดา ฉากกินข้าวร่วมกันบนโต๊ะอาหารนั้นในแต่ละตอนนั้น บอกอะไรมากมายหลายอย่างโดยแทบจะไม่ต้องใช้คำพูดสักคำ เป็นฉากที่แสดงถึงความเงียบงัน การซ่อนเร้นความลับและความห่างเหินประดุจคนแปลกหน้า และบทเพลงในตอนจบเป็นบทเพลงที่ไพเราะอย่างยิ่ง เป็นหนังที่ดีและน่าประทับใจอีกเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การชม