Tuesday, September 15, 2009

ทบทวนชีวิต


ลองนั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เป็นอยู่ และกำลังจะเป็นไป ในช่วงเวลาสั้นๆของยามค่ำคืน แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองมาอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ว่า เราเกิดมาทำไม มีอะไรที่เราต้องการทำบนโลกใบนี้บ้าง ภารกิจ(ทางจิตวิญญาณ)ของเราคืออะไร เป้าหมายสูงสุดในชีวิตในชาตินี้ของเราคืออะไร แล้วตัวเราได้เข้าใกล้เป้าหมายนั้นไปแล้วบ้างหรือยัง

ในหลายขวบปีที่ผ่านพ้นมานั้นบางคำถามก็อาจได้พบพานคำตอบ บางคำถามก็ยังคงดำรงอยู่ภายใน เฝ้ารอคอยคำตอบอย่างอดทน จำได้ว่าตอนที่เยาว์วัยกว่านี้ เราเร่งร้อนที่หาคำตอบต่างๆให้เจอเร็วๆ อยากรู้เร็วๆ จะได้รีบๆ ทำ จะได้รีบๆบรรลุเป้าหมายชีวิตเหล่านั้นโดยเร็ว มีชีวิตก็ต้องรีบใช้ ต้องรีบทำ ต้องรีบลองเรียนรู้และแสวงหาประสบการณ์ เป็นมนุษย์ผู้หิวโหยประสบการณ์

มาบัดนี้อายุมากขึ้น เราเริ่มช้าลง ความร้อนรนเริ่มจางคลาย ความอดทนในการเฝ้ารอมีมากขึ้น เริ่มละเลียดในการผ่านพ้นวันคืนและการใช้ชีวิตมากขึ้น เริ่มตระหนักว่าหลายๆคำถามที่มีอาจจะยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนตอบ พี่ที่นับถือคนหนึ่งเคยบอกว่า "อย่าฆ่าคำถามดีๆ ด้วยคำตอบห่วยๆ" และคำถามดีๆบางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเสมอไป ใช่หรือไม่?

ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า การเร่งร้อนแสวงหาประสบการณ์ในวัยเยาว์เป็นสิ่งไม่ดี การช้าลงและเฝ้ารอในตอนนี้ดีกว่า สำหรับเราแล้ว การใช้ชีวิตทั้งสองแบบแม้จะแตกต่าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเฉกเช่นเดียวกัน ในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการทดลองเรียนรู้ที่เราชื่นชอบทั้งสิ้น

เราค้นพบว่า สิ่งหนึ่งที่เราปรารถนามาตลอดคือ อิสระภาพ การใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ ความเบิกบาน-ความมั่นคงภายใน การบรรลุธรรม(เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง) การได้ช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้เติบโตและค้นพบความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง และความสามารถที่จะรักมนุษย์ทุกคนได้เหมือนอย่างที่จักรวาลรัก

เราได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากครูทางธรรมคนแรกในชีวิต ท่านเป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจให้เราเลือกที่จะเป็นครูเช่นเดียวกันนั้นให้กับคนอื่นๆต่อไป เราปรารถนาว่า เราได้สร้างแรงบันดาลให้กับผู้คนในการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความสุขภายในที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มั่นคงยิ่งกว่า ความสุขนั้นเปรียบได้กับแหล่งน้ำพุทางจิตวิญญาณที่ไหลรินพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา

และการเป็นครูทางจิตวิญญาณนั้น มิได้ผูกติดยึดโยงหรือตีกรอบอยู่ภายใต้ศาสนาใดๆ หากแต่เปิดรับและน้อมรับคำสอนและสัจจะธรรมที่ดำรงอยู่ในทุกๆศาสนาอย่างให้ความเคารพ ไม่แตกต่างกัน เป็นสัจจะที่เป็นกลางเป็นสากลของมนุษยชาติ

จนถึงบัดนี้เราก็ยังไม่รู้หรอกว่า เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ด้วยวิธีการใด อย่างไรหรือเมื่อไหร่ แต่มันคือความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆภายในใจว่า หากสิ่งที่เราปรารถนานั้นเป็นสิ่งดีงามและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติแล้วไซร้ จักรวาลจะจัดสรรโอกาสและเส้นทางมาให้แก่เราเอง เส้นทางนั้นจะปรากฎในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรารู้ดีว่าเราอยู่บนเส้นทางและอยู่ในแผนการของจักรวาล ดำรงอยู่มาแล้วเสมอมา ตลอดเวลา

บนเส้นทางของความสัมพันธ์


เมื่อเร็วๆนี้ได้รับทราบข่าวคราวของเพื่อนคู่หนึ่ง เป็นคู่ที่เรารู้จักตั้งแต่เขายังคบเป็นแฟนกัน จนกระทั่งแต่งงานมีลูกสาวหนึ่งคน ยังจำได้ถึงภาพครอบครัวเล็กๆที่น่ารักของสามคนพ่อแม่ลูก ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่เรารู้สึกชื่นชมเสมอในความสามารถและความมีน้ำใจ

ข่าวคราวล่าสุดที่ทราบคือ หลังจากใช้ชีวิตคู่กันมาร่วม 10 ปี มาบัดนี้ความสัมพันธ์ดูคล้ายจะเปราะบางและอ่อนไหว ฝ่ายชาย(คือรุ่นพี่ที่เรานับถือ)เขียนจดหมายบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา บอกเล่าถึงความหวั่นไหว ไม่มั่นคง ความเสียใจ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้ตื่นรู้และเติบโตขึ้นจากปัญหาที่เผชิญในความสัมพันธ์อย่างมากมาย มีหลายคำถามที่เขาถามแล้วทำให้เราได้คิด เขาถามว่าในช่วงหลายขวบปีที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานั้น มันคงมีบางสิ่งที่เขาคุ้นชินและละเลยไป จนทำให้เมื่อถึงวันนี้มันก็สายเกินสำหรับฝ่ายหญิงที่จะย้อนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง

ภรรยาของเขา (เพื่อนของเรา) ได้บอกกับสามีอย่างตรงไปตรงมาว่า ถึงตอนนี้มันเลยจุดนั้นของความสัมพันธ์ไปแล้ว เลยจุดที่เธอจะหวนย้อนคืน เธอไม่พบว่าตนเองยังรักเขาอีกต่อไป และเธอต้องการอิสระภาพเพื่อได้ทำตามในสิ่งที่ตนเองเคยฝันไว้ อาจเป็นเพราะการต้องแบกรับภาระแห่งการเป็นภรรยาและเป็นแม่ ทำให้ความฝันเหล่านั้นถูกเก็บงำซุกซ่อนไว้มายาวนานนับหลายปี

แม้ถึงตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ยังคงอ่อนไหวและเปราะบาง ไม่อาจล่วงรู้ผลลัพธ์ในบั้นปลาย เรายังคงรู้สึกชื่นชมคนทั้งคู่ ชื่นชมในความกล้าหาญที่จะเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของฝ่ายชาย ชื่นชมในความกล้าในการตัดสินใจเพื่อไล่ตามความฝันของฝ่ายหญิง ชื่นชมในความกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่เป็นอยู่ และเลือกที่จะเติบโตขึ้นจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่

เรื่องนี้สำหรับเราแล้ว คงไม่ใช่คำถามว่า แล้วใครถูกหรือใครผิด แต่คงเป็นคำถามว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเรา เราจะเลือกเติบโตขึ้นจากมันอย่างไร

บนเส้นทางของความสัมพันธ์นั้นไม่มีคำตอบตายตัว ไม่มีการการันตีใดๆ ความเปลี่ยนแปลงต่างหากคือที่ดำรงอยู่ในคุณภาพของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์คือโอกาสที่จิตวิญญาณจะได้เติบโตอย่างที่ตนต้องการ

จิตวิญญาณสองดวงเลือกที่จะพบกัน บางทีก็เพื่อที่จะเติบโตด้วยกันไปสักระยะ ก่อนจะตัดสินใจแยกย้ายหรือแยกทาง หากแต่บางครั้งก็อาจจะเลือกที่จะเติบโตด้วยกันไปจวบจนสิ้นอายุขัยในช่วงชีวิตนี้ (เราล้วนเกิดและตายมาหลายชาติภพ มีคู่แท้มากมายที่ได้ผ่านพบในแต่ละชาติ)

ทางเลือกในชีวิตมีมากมายหลายเส้นทางที่ทับซ้อนและโยงใยพาดผ่านกันไปมา เมื่อชีวิตมาถึงทางแยก และเมื่อจำเป็นต้องเลือก ก็ขอให้เราได้เลือกอย่างกล้าหาญ ซื่อสัตย์และจริงใจต่อตนเอง