Wednesday, October 28, 2009

และแล้วนางมารร้ายก็ปรากฏ



ฉันมีโอกาสได้ฟังซีดีพระอาจารย์มาสักระยะหนึ่ง เคยไปฟังพระอาจารย์แสดงธรรมที่ศาลาลุงชินและที่สวนสันติธรรมสองสามครั้ง แต่ที่ผ่านมาก็ปฏิบัติแบบกระพร่องกระแพร่ง ฟังซีดีบ้างไม่ฟังบ้าง ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง จึงได้แต่ไปนั่งฟัง แต่ไม่เคยคิดจะส่งการบ้าน เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติมากพอที่จะมีอะไรส่งได้ ส่งไปก็อายชาวบ้าน อายพระอาจารย์เปล่าๆ

แต่เมื่อสักช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่าน รู้สึกมีกำลังใจ ฮึดสู้ขึ้นมาเพราะได้อ่านบลอกธรรมใจไดอารี่ของพันธกุมภาที่ปฏิบัติตามแนวทางของพระอาจารย์ จริงๆแล้วก็เคยอ่านเจอบลอกของเขาผ่านเว็บประชาไท(นานมาแล้ว) ตอนนั้นยังนึกชมว่า คนเขียนอายุยังน้อยแต่เขียนได้ดีมาก อ่านแล้วรู้สึกว่ามีกำลังใจในการปฏิบัติ แต่แล้วก็ลืมๆไป(กำลังใจมันมาเป็นวูบๆ) แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็มาเจอบลอกของเขาอีกทีใน facebook นับว่าโลกกลมจริงๆ ก็เลยเกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบ ยังรู้สึกขอบคุณเขาจนบัดนี้ที่ได้แบ่งปันงานเขียนดีๆ และข้อความดีๆ บนเส้นทางแห่งการปฏิบัติของเขาให้ฉันได้อ่าน ซึ่งได้มาช่วยเตือนสติและสร้างแรงบันดาลใจให้ฉันฮึดขึ้นมาปฏิบัติอีกครั้ง

ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงได้เริ่มต้นตั้งใจปฏิบัติตามแนวทางของพระอาจารย์อย่างต่อเนื่อง ดูเล่นๆไปเรื่อยๆ แบบทีเล่นทีจริง เผลอบ้าง เพ่งบ้าง หลงบ้าง ดูกายบ้าง ดูจิตบ้าง สลับไปสลับมาแล้วแต่ว่าจะดูอะไรได้ในตอนนั้น บางขณะก็ระลึกรู้ได้เองถึงกายและใจโดยไม่ได้ตั้งใจ (แว๊บหนึ่งแล้วก็หายไป)

มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันโกรธเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาก แล้วก็ไปพูดระบายความโกรธเคืองให้เพื่อนร่วมงานอีกคนฟังแบบใส่อารมณ์เต็มที่ (แน่นอนอย่างมีเหตุมีผลประกอบอย่างน่าเชื่อถือ) พอพูดจบได้สักพัก เจ้าตัวคนที่ถูกเอ่ยถึงเดินเข้าห้องมา ฉันก็ทำหน้าเฉยๆ แล้วคุยก็เขาแบบปกติด้วยดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เย็นวันนั้นขณะนั่งรถกลับบ้าน จู่ๆจิตก็ระลึกขึ้นมาได้ถึงพฤติกรรมของตัวเอง แล้วก็ได้เห็น pattern ความร้ายกาจของตัวเองที่พูดเอาแต่ได้มาตลอด ในเวลาที่ไม่พอใจหรือเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ขัดเคือง ฉันสามารถพูดให้ร้ายคนอื่นอย่างหน้าไม่อายเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นผิด พูดให้ตัวเองดูดีดูมีเหตุผล แต่ในขณะเดียวกันก็เจ้าเล่ห์เพทุบายเอาตัวรอดในสถานการณ์การเผชิญหน้ากับคู่กรณี กลับกลอกได้อย่างแนบเนียน จนแม้แต่ตัวเองก็มองไม่เห็น (หรือแกล้งทำเป็นไม่เห็นเพราะไม่อยากจะมอง) จนกระทั่งหลายครั้งฉันก็เชื่อว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นสมควรแล้ว ชอบธรรมแล้ว ฉันได้ทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินโทษผู้อื่นแบบเบ็ดเสร็จ

เย็นนั้นพอได้เห็น pattern พฤติกรรมของตัวเองแล้วก็รู้สึกละอายใจมาก ทำเอาสะดุ้งเฮือกว่า โอ้โห เรานี่มันนางมารร้ายตัวจริงเลยนี่หว่า เป็นนางมารร้ายแบบเนียนๆด้วย ร้ายแบบขั้นเทพ เพราะเวลาที่เกิดโทสะแรงๆนั้น ฉันไม่ได้ลงมือลงไม้ทำร้ายใคร ไม่ได้อาละวาดด่าใครด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ฉันสามารถพูดให้ร้ายคนได้อย่างชนิดที่ฟังแล้วน่าเชื่อถือ ในขณะเดียวกันทำให้ตัวเองดูน่าเห็นใจน่าสงสาร ดูเป็นคนดีมีเหตุผลและหลักการ และแน่นอนมีคุณธรรม (อิอิ ภาพลักษณ์อันหลังที่มอบให้ตัวเองนี้ถือว่าแสบมากๆ)

ตอนนั้นพอได้เห็นความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความชั่วร้ายและกิเลสในจิตใจตัวเอง เกิดความรู้สึกว่าใจมันโล่งกระจ่างแจ้งและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก (แล้วก็สะใจตัวเองมากๆด้วย) และเกิดความสำนึกว่าต่อไปจะต้องระมัดระวังไม่พูดจาให้ร้ายใครอีก หากเกิดโทสะแรงๆขึ้นมาเมื่อไหร่จะสงบปากสงบคำ จะหุบปากตัวเองให้สนิทขึ้น ใจจะโกรธก็โกรธไป แต่จะไม่ละเมิดศีลข้อสี่ (ซึ่งเป็นข้อที่ฉันละเมิดบ่อยที่สุด—ในที่นี้หมายรวมถึงการพูดจาให้ร้าย ส่อเสียดและประชดประชันผู้อื่นด้วย)

เพิ่งจะได้เข้าใจที่เคยมีคนบอกฉันว่า ฉันน่ะเป็นคนที่ทำอกุศลกรรมด้านคำพูด เคยพูดจาทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ พูดจาว่าคนอื่น กรรมในเรื่องคำพูดก็เลยส่งผลให้ฉันกลายเป็นคนอ่อนไหว ขี้น้อยใจง่าย ใครพูดอะไรผิดหูนิดหน่อยก็มีอันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หรือน้อยออกน้อยใจ ทุกข์จะเป็นจะตายขึ้นมา (ก็สมควรแล้ว) เมื่อก่อนนี้ก็มองไม่เห็น คิดไม่ออกเลยว่าฉันเคยไปด่าว่าใครที่ไหนตั้งแต่เมื่อไรกัน แถมตอนนั้นยังคิดอีกว่า แหม โถๆๆ เราก็ออกจะเป็นคนดีปานนี้ จะไปพูดจาว่าใครเขาได้ แล้วยังคิดเลยเถิดไปนู่นว่า ชะรอยสงสัยจะเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อนเป็นแน่แท้ ก็ไม่เป็นไรก้มหน้าก้มตารับกรรมไปก็แล้วกัน (เล่นบทพจมานเสียงั้น) ชิชะ ที่ไหนได้ มันเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันนี่แหละ ไม่ต้องคิดว่าชาติก่อนชาติไหน ตรูทำมันอยู่เกือบทุกวันเนี่ย แต่ที่ผ่านมามองไม่เห็นเอง ตอนนี้พอกำลังของสติมันมากเข้า มันก็ช่วยให้เราเห็นพฤติกรรมความน่าเกลียด และกิเลสของตัวเองได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะตัวที่หยาบๆใหญ่ๆ เนี่ยจะเห็นได้ก่อนเพื่อน

เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วที่บอกว่าเป็นนางมารร้ายแบบเนียนๆ นี้ มันก็ไม่ได้เนียนจริงสักเท่าไหร่ เพราะยังเป็นกิเลสแบบหยาบๆอยู่ ในใจลึกๆนั้นแอบรู้ว่าตัวเองยังมีกิเลสที่เนียนยิ่งกว่านี้ได้อีก ยังมีซ่อนอยู่อีกหลายตัว แต่ตอนนี้ยังเห็นไม่ค่อยชัด ขอให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นเองในไม่ช้า

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นใจจึงมีกำลังคึกคัก ฮึกเฮิมมาก มันดีใจมีความสุขที่ได้เห็นกิเลสของตัวเอง ก็ตั้งใจปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆวันดีคืนดี ก็เกิดแรงบันดาลใจว่าอยากไปวัด อยากไปสวนสันติธรรมหรือไปวัดป่าละอูก็ได้ อยากลองไปส่งการบ้านบ้าง อยากรู้ว่าที่ฉันปฏิบัติอยู่นี้มันมาถูกทางหรือยัง หรือว่าจริงๆแล้วยังมั่วๆอยู่

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ ฉันจึงได้มีโอกาสไปสวนสันติธรรมเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ตั้งใจว่าจะขอส่งการบ้านกับพระอาจารย์ให้ได้สักครั้ง ฉันตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อที่จะไปขึ้นรถตู้ตอนตีสี่ รถไปถึงสวนสันติธรรมราวๆหกโมงเช้า ประตูวัดยังไม่ทันเปิด ก็มีรถจอดรอต่อคิวเป็นแถวยาวอยู่หน้าวัดแล้ว เมื่อเข้าไปในวัด ก็สัมผัสได้ถึงพลังบรรยากาศที่ดีอยู่รายรอบ ฉันเดินขึ้นไปบนศาลาแสดงธรรมเพื่อหาที่นั่ง เช้านั้นฉันได้นั่งแถวเกือบหน้าๆ (แถวที่เจ็ด) ในตำแหน่งกลางๆห้อง เรียกว่านั่งในตำแหน่งที่จะได้เห็นพระอาจารย์แบบชัดๆเลยทีเดียว เป็นทำเลที่ดีมาก (ดีใจจัง)

ตอนที่เห็นพระอาจารย์เดินเข้ามาเพื่อบรรยายธรรมตอนเจ็ดโมงนั้น รู้สึกดีใจมาก ก้มลงกราบด้วยความรู้สึกขอบคุณพระอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า ปรากฏว่าธรรมะข้อแรกที่พระอาจารย์แสดงในเช้าวันนี้คือ เรื่องความร้ายกาจ (กิเลส) ของคนเรา ท่านว่า ตอนวัยเด็กที่มีนิสัยหรือพฤติกรรมร้ายๆนั้น พอโตขึ้นมา อย่าคิดว่าความร้ายมันหายไปนะ ความร้ายมันยังอยู่นั่นแหละไม่ได้หายไปไหน แต่มันถูกปกปิดไว้ ถูกซ่อนไว้ ตอนเด็กๆมันร้ายแบบดิบๆ พอโตขึ้นมามันร้ายแบบเนียนๆ (สุดยอดมาก โดนจริงๆ ฮ่าๆ) ฉันก็ได้แต่นั่งฟังไปอมยิ้มไป ด้วยความสะใจตัวเองมาก พยักหน้าหงึกๆ อย่างยอมรับว่าเห็นจริงตามที่ท่านว่าทุกประการ รู้สึกสนุกสนานและเบิกบานยิ่งนัก ฟังไปก็อาศัยดูจิตไปด้วย บางทีก็คิดตามบ้าง บางทีก็เผลอคิดนอกเรื่อง ใจลอย บางทีก็รู้สึกตัว สลับไปสลับมา

พระอาจารย์แสดงธรรมถึงแปดโมงเช้า ก็ให้ญาติโยมออกมากินอาหารเช้า ก่อนที่จะเข้าไปฟังธรรมอีกรอบตอนเก้าโมง รอบเก้าโมงนี้จะเป็นช่วงที่ท่านเปิดโอกาสให้เราได้ถามคำถาม หรือส่งการบ้านในการปฏิบัติให้ท่านฟัง เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

ตอนเก้าโมงเช้า พระอาจารย์เริ่มด้วยการบรรยายธรรมสั้นๆแล้วก็บอกว่า วันนี้หลวงพ่อมีเวลาไม่มาก ต้องรีบไปทำธุระที่อื่นต่อ คงจะให้ถามได้ไม่มาก (ฟังแล้วรู้สึกใจแป้วไปนิดหนึ่ง แต่ก็เข้าใจและเห็นใจว่าท่านมีภารกิจมาก) แล้วท่านก็บอกว่า เอ้าใครจะถามก็ยกมือ(พร้อมป้ายหมายเลข) ฉันฟังเพลินยกแทบไม่ทัน ฮะๆ ตอนนั้นเห็นสภาพจิตตัวเองว่าทุลักทุเล ลนลานรีบยกมือแบบขลุกขลักมาก ในใจรอคอยคาดหวังว่าท่านจะเรียกหมายเลขของเราไหม แต่ปรากฏว่าท่านไม่หันมาเลย มองไปแต่ทางอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วก็เรียกหมายเลขอื่นๆไปเรื่อยๆ ขนาดคนที่นั่งติดกันกับฉันยังถูกเรียกเลย (แอบอิจฉาเขาด้วย) แล้วก็หลวงพ่อก็บอกว่า เอาล่ะเช้านี้พอแค่นี้ก่อน ตอนนั้นใจแป้วมาก รู้สึกเสียดาย(ในใจคร่ำครวญว่าเสียดายจังเลยๆ) แต่สักแป๊บหนึ่งก็ทำใจได้ว่าพระอาจารย์ท่านมีภารกิจมาก เท่าที่ท่านให้โอกาสพวกเราขนาดนี้ก็นับว่าต้องขอบพระคุณท่านมากแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่ ค่อยหาโอกาสส่งการบ้านอีกทีก็ได้

สักพักพอท่านให้หมายเลขต่างๆส่งการบ้านจนครบ ท่านก็หันมาแล้วบอกว่า เอ้า มาทางฝั่งนี้บ้าง ใครมีคำถามหรือจะส่งการบ้านก็ยกมือ ฉันรีบยกมือชูป้ายแบบสุดแขน (แบบว่ารอบนี้เต็มที่มาก ดีใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง) ชะรอยในรอบแรกนั้น เส้นแบ่งกั้นครึ่งห้อง(ที่พระอาจารย์ขีดไว้ในใจ) มันมาสิ้นสุดตรงฉันพอดี ฉันเลยไม่ได้ถูกเรียกในตอนแรก (ฮ่าๆ) จากนั้นพระอาจารย์ก็เรียกหมายเลขนู่นนี่ไปเรื่อยๆ สักพักท่านมองมาที่ฉันด้วยสายตาสงสัย แล้วก็ถามว่า หมายเลข ๑๕๔ ส่งการบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ตอนแรกยังงงๆ ไม่คิดว่าท่านจะพูดกับฉัน (เพราะฉันยังไม่เคยส่งการบ้านเลยสักครั้ง) มองซ้ายมองขวา ทุกคนก็หันมามองที่ฉัน (อารมณ์แบบงงๆ ฮาๆพิกล) ก็เลยตอบท่านไปว่า ยังไม่เคยส่งเลยค่ะ ท่านก็เลยเรียกหมายเลข ๑๕๔ ที่ฉันถืออยู่ โห ตอนนั้น ดีใจสุดๆ ที่ได้รับโอกาสให้ส่งการบ้าน (ลั้นลาๆมิใช่น้อย)

แต่ตอนที่ท่านเริ่มเรียกให้หมายเลขต่างๆก่อนหน้าฉันส่งการบ้านนั้น เห็นได้ว่าอาการตื่นเต้นปนดีใจมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรียกหมายเลขใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น พอรู้สึกตัวก็เลย มาดูอาการตื่นเต้นของตัวเอง ดูไปสักพัก โดยที่ไม่ได้พยายามไปกดไว้หรือไปบังคับให้มันหายไป ก็นั่งดูมันไปเรื่อยๆแบบขำๆ สักพักอาการตื่นเต้นมันก็ค่อยๆลดลงไปเอง พอไมค์ส่งมาถึงมือ อาการตื่นเต้นก็หายไปจนเกือบหมด

ฉันได้ส่งการบ้านพระอาจารย์ไปว่า ฉันได้ฟังซีดีท่านมาระยะหนึ่งแล้วและได้ลองฝึกปฏิบัติตามซีดี ก็เพ่งบ้าง หลงบ้าง บางทีดูๆไปก็สนุกดี ไม่ทราบว่าที่ปฏิบัติอยู่นี้พอจะจับหลักได้ถูกหรือยัง ท่านตอบกลับมาทันทีว่า อืม เอาล่ะ เราเนี่ยร้ายมากเลย ให้ไปดูความร้ายของตัวเองนะ ร้ายมากๆ ร้ายจริงๆ มันร้ายแบบเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ ท่านย้ำคำว่าเราร้ายมากๆ อยู่ประมาณสามสี่รอบ คนขำกันใหญ่ ฉันก็ขำ นั่งฟังไปพยักหน้ารับคำไปว่าค่ะๆ พอท่านให้สัญญาณว่าให้ส่งไมค์ต่อไปยังหมายเลขถัดไป พอส่งไมค์ไปได้แป๊บหนึ่ง ยังไม่ทันจะถึงมือเขา ท่านก็หันมาบอกอีกรอบว่า เรานี่ร้ายจริงๆนะ เท่านั้นแหละ คนฮากันทั้งห้อง ฉันก็เหวอ..แล้วก็ขำมาก อายด้วยแต่ก็ขำด้วย ขณะเดียวกันก็สะใจมากเลย ประโยคคำสอนสั้นๆไม่กี่คำที่แสดงความจริงที่เป็น เปิดเผยให้เราเห็นตัวเราเองเช่นนี้มันถึงอกถึงใจมาก ฉันยืดอกรับความจริงอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกขอบคุณพระอาจารย์อย่างยิ่ง ที่มาช่วยชี้ทางให้ (เหมือนถูกเขกกะโหลกให้ตื่นแล้วตาสว่าง ท่านช่วยปลุกเราอย่างตรงไปตรงมา และมีเมตตายิ่ง เพราะการที่ใครสักคนจะมาบอกเราตรงๆถึงข้อเสียที่เรามีด้วยความกรุณานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย)

จากนั้นฉันก็นั่งดูจิตใจตัวเองไป คิดไปบ้าง รู้สึกตัวบ้าง เห็นอาการและความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป รู้สึกว่าการนั่งดูจิตต่อหน้าพระอาจารย์นี้มันทำได้ง่ายมากเลย พลังสติและความรู้สึกตัวมันเข้มข้นมาก ใจมันตื่นและเบิกบาน จะรู้สึกตัวได้ง่ายและบ่อยมาก(กว่าตอนอื่นๆ) ขณะที่นั่งดูจิตไป สลับกับฟังคนอื่นส่งการบ้านไป สักครู่ พระอาจารย์ก็หันมาพูดกับฉันว่า เออ นั่นแหละดูไปๆ เห็นไหมความร้ายมันจะค่อยๆคลายลงไปเอง (โห ดีใจๆ ขอบคุณพระอาจารย์ที่ให้ความเมตตาชี้แนะ) ฉันก็นั่งดูต่อไปอีก สักครู่หนึ่งท่านก็หันมาบอกอีกรอบว่า นั่นเผลอคิดแล้วเห็นไหม ฉันก็รู้สึกตัวพยักหน้าตอบรับ โอ้โห วันนี้ดีใจมากๆ ได้รับคำชี้แนะและความเมตตาเกินความคาดหมาย คือนอกจากจะได้ส่งการบ้านแล้ว ท่านยังกรุณาให้คำชี้แนะเพิ่มเติมอีกสองรอบ (ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองได้รับความใส่ใจและความเมตตามากๆ รู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก)

พอส่งการบ้านเสร็จในราวเก้าโมงสี่สิบห้า พระอาจารย์ก็บอกให้พวกเรากลับบ้าน ตอนเลิกจากธรรมะบรรยาย ฉันได้เจอกับพี่ที่รู้จักกันโดยไม่คาดหมาย ตอนแรกจำกันไม่ได้ แต่เขาจำได้หันมาทักฉันก่อน ก็เลยตื่นเต้นดีใจ คุยกันเสียงดัง เจอพี่ควิก (นามสมมติ ศิษย์รุ่นเดอะ) เดินเข้ามาชูป้าย “งดใช้เสียง” ตรงหน้าพร้อมกับถามว่า ใครเสียงดังๆๆ ฉันตกใจรีบก้มตัวหลบ พี่ควิกไม่ยอมแพ้ เอาป้ายมาจ่อตรงหน้า พร้อมพูดประโยคเดิมว่า ใครเสียงดังๆๆ ฉันเลยต้องยอมแพ้ บอกไปว่า ขอโทษค่ะ แหม แต่ว่าในใจตอนนั้นโกรธจี๊ดทีเดียว นั่นไง นางมารร้ายโผล่มาแล้ว ได้เห็นเลยว่า ที่ว่าฉันร้ายเนี่ยมันร้ายยังไง โทสะมันมาแรงจริงๆ มาแบบไม่ยอมไปง่ายๆ ประมาณโกรธแบบอาฆาต เจ้าคิดเจ้าแค้น คือไม่ได้คิดจะไปทำอะไรเขาหรอกนะ แต่มันจำแม่น จำขึ้นใจแบบไม่ลืมว่าคนๆนี้เคยทำอย่างนี้กับฉัน ฉันไม่ชอบมากๆ โกรธมากๆ อย่างที่ไม่คิดจะให้อภัยเขาอีก ชาตินี้อย่าได้มาใกล้หรือมาเจอกันอีกเลย

สุดยอด (ต้องอุทานว่า ซึโค้ย!) สภาวธรรมท่านมาแสดงตัว สอนให้เราดูให้เราเห็นตัวเองแบบทันอกทันใจมาก ฮ่าๆ เช้านั้นหลังจากปลาบปลื้มใจตอนที่ส่งการบ้านเสร็จ ก็เลยกลับบ้านไปแบบที่ยังเคืองๆพี่ควิกอยู่เลย (ตอนนั่งรถกลับจะมีโทสะผุดขึ้นมาสลับกับความปลาบปลื้ม ขึ้นอยู่กับว่าฉันเผลอคิดถึงเรื่องอะไร) แหม..ตอนนี้ที่เขียนถึงนี้ก็ยังมีแอบเคืองจี๊ดๆอยู่เลยนะเนี่ย ธรรมะแสดงตัวอีกรอบ ฮ่าๆ ก็ตามดูตามรู้ไป ดีๆ ทำความรู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ (ตอนเขียนบันทึกนี้ จิตมีอาการฟุ้งมิใช่น้อย แต่ก็สนุกดี เขียนไปขำไป ดูจิตไป)

Sunday, October 4, 2009

หลวงพระบาง ในฤดูปลายฝนต้นหนาว (ตอน ๑)

จำได้ว่าเกิดแรงบันดาลใจอยากจะไปหลวงพระบางเมื่อหลายปีก่อนจากโปสการ์ดใบหนึ่ง ที่เป็นภาพขาวดำรูปอาคารเก่าๆยุคโคโลเนียลหลังหนึ่ง หากมองผาดๆก็คงจะเห็นเป็นแค่โปสการ์ดใบหนึ่ง แต่เมื่อมองพิศก็จะพบกับความงามและเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิต โปสการ์ดใบนั้นทำให้เกิดความตั้งใจว่าวันหนึ่งฉันจะเดินทางไปหลวงพระบางเพื่อไปตามหาตึกหลังนั้นให้ได้ ยิ่งเมื่อได้อ่านเรื่องราววิถีชีวิตและความมีน้ำใจของผู้คนอันเป็นเสน่ห์ของเมืองหลวงพระบาง ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากจะไปเที่ยวหลวงพระบางให้ได้ในสักวัน ฉันยังคงเก็บโปสการ์ดใบนั้นไว้มาจนบัดนี้ เป็นโปสการ์ดที่ถ่ายภาพโดย Pattarapong Kongwijit

ในที่สุดฉันก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปหลวงพระบาง เมื่อพี่นะและหยีเพื่อนที่ทำงานอยู่เมืองลาวชวนให้ไปช่วยจัดอบรม TOT 1 ให้กับกลุ่มพระที่สนใจการทำงานด้านพัฒนาที่วัดป่านาคูนน้อยที่เวียงจันทร์ ตอนที่ตัดสินใจว่าจะไปนั้นยังไม่มีเพื่อนร่วมทาง ก็เลยเผื่อใจไว้ว่าทริปนี้มีแววว่าอาจต้องลุยเดี่ยว มีความรู้สึกตื่นเต้นปนกังวลใจ เพราะไม่เคยไปและไม่รู้จักใครที่หลวงพระบาง (เพื่อนฉันทำงานอยู่ที่เวียงจันทร์เป็นหลักและช่วงนั้นเขาก็ไม่ว่าง) แต่พอเพื่อนรู้ว่าฉันรู้สึกกังวลใจ เขาก็ช่วยหว่านล้อมแกมบังคับ + สะกดจิต(เพราะพี่แกพูดหว่านล้อมทุกวัน) ให้น้องแล่ น้องชายคนลาวที่เป็นเจ้าหน้าที่โครงการอบรมช่วยไปเป็นไกด์ให้จนได้ เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมในค่ำวันที่ห้า เช้ามืดวันถัดมา ฉันตื่นตั้งแต่ตีสี่ ตื่นเช้ากว่าวันปกติของการอบรมที่ต้องตื่นมานั่งสมาธิตอนตีสี่ครึ่งเสียอีก (ปกติจะตื่นประมาณ ตีสี่ยี่สิบ) เพื่อนเลยแซวว่าสงสัยจะมีอาการตื่นเต้นเหมือนเด็กจะได้ไปเที่ยว (ท่าจะจริงเนาะ)


เดินทางไปถึงท่ารถตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะเข้าใจว่ารถออกตอนหกโมงครึ่ง ปรากฏว่าข้อมูลคลาดเคลื่อน รถจะออกจริงๆตอนแปดโมงตะหาก หลังจากจองตั๋วรถ นั่งกินกาแฟกับขนมคู่ (ปาท่องโก๋) ที่สถานีรถโดยสารแล้ว ยังเหลือเวลาอีก เกือบสองชั่วโมง เพื่อนก็เลยชวนไปเดินตลาดเช้าที่ทุ่งขันคำ (แปลว่าทุ่งขันทองคำ / คำ = ทองคำ) ไปดูบรรยากาศยามเช้าในตลาดสดเมืองเวียงจันทร์ ที่ตลาดมีผู้คนคึกคัก สินค้าหลากหลาย นอกจากสินค้าที่ผลิตได้เองในเมืองลาวและที่นำเข้าจากเมืองไทยแล้ว ก็มีผักผลไม้จำนวนมากที่เป็นสินค้านำเข้าจากเมืองจีน อาจเรียกได้ว่าจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศลาวในวันนี้




เดินดูบรรยากาศและได้ชิมข้าวจี่จื่น (ข้าวจี่ชุบไข่ทอด) อร่อยดี ไม้ละ ๘ บาท เดาว่าเป็นความอร่อยที่ได้จากแป้งนัวผสมกับไข่ที่ชุบทอด อาหารลาวมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม จีน ฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นข้าวเปียก (ก๋วยจั๊บญวน) เฝอ ข้าวจี่ฝรั่ง (ขนมปังฝรั่งเศสสอดใส้หมูยอ แจ่ว และอื่นๆ) ยำผัก (สลัดผักราดน้ำสลัดผสมถั่วลิสงคั่ว รสชาติจัดจ้าน – แซ่บถูกใจคนมักกินผักเช่นข้าน้อยยิ่งนัก)



ส่วนอาหารพื้นเมืองดั้งเดิมของลาวนั้นก็มักจะมีแจ่ว ผักและปลาร้าเป็นส่วนผสมหลัก ไม่นิยมปรุงด้วยน้ำมันหรือการทอด แต่จะใช้การต้ม นึ่งเสียส่วนใหญ่ จึงนับว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากๆ รสชาติออกจะกลมกล่อมไม่เผ็ดร้อนเท่าอาหารอีสานของไทย แต่ต้องระวังเรื่องการใส่แป้งนัว (ผงชูรส) ที่อาจจะมีมากเป็นพิเศษ กระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ได้นำพาแป้งนัวเข้ามาในลาวด้วย แป้งนัวได้ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง มันอยู่ในกับข้าวเกือบทุกชนิดรวมทั้งในถ้วยพริกน้ำปลามะนาว แอบสงสัยว่าถ้าข้าวเหนียวจำเป็นต้องมีรสอื่นที่ไม่ใช่รสข้าวเหนียวเขาก็คงจะใส่แป้งนัวลงไปด้วยแน่ๆ

เดินดูตลาดจนทั่วก็ได้เวลากลับมาขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปหลวงพระบาง เช้านี้ที่ท่ารถผู้คนบางตา เพราะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว จึงไม่มีนักท่องเที่ยวให้เห็นมากนัก รถโดยสารปรับอากาศที่ฉันนั่งมีชาวต่างชาติไม่กี่คนนอกนั้นเป็นคนลาวเสียส่วนใหญ่

หนังสือท่องเที่ยวบอกว่าใช้เวลาเดินทางจากเวียงจันทร์ไปหลวงพระบางประมาณ 7-12 ชั่วโมง เจ็ดชั่วโมงที่ว่าคงหมายถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เพราะถ้านั่งรถโดยสารประจำทางนั้นใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 10 ชั่วโมง ที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นสำหรับระยะทางประมาณ ๓๘๐ กิโลเมตรนั้น เป็นเพราะถนนสายหลักที่ไปหลวงพระบางมีเพียงเส้นเดียว คือถนนสายที่ ๑๓ ที่สร้างตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเมืองลาว เป็นถนนลาดยางสองเลน ทอดยาวลัดเลาะไปตามไหล่เขาและหน้าผาสูง ไม่มีเส้นแบ่งกั้นช่องทางการจราจร การขับรถจึงต้องขับอย่างระมัดระวัง ต้องกะระยะกันวัดใจกันเอาเองเวลารถสวนกัน



เมื่อนั่งรถไปในราวชั่วโมงที่เก้า (ชักจะเมื่อย) ฉันเปรยๆกับน้องแล่ที่ร่วมทางว่า น่าจะเชิญคนขับไปเป็นวิทยากรหัวข้อการใช้ชีวิตช้าๆ เสียจริง พี่แกขับรถได้ช้าดีมาก ต้องขอชมเชยในความใจเย็นรอบคอบและระมัดระวังของพี่เขา

แม้จะนั่งรถนานมาก แต่ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นก็สวยงามดีอยู่ มีภูเขาสูงรูปร่างแปลกตาทอดเรียงรายสลับลดหลั่นกันไป เห็นบ้านเรือน และวิถีชีวิตของผู้คนชนเผ่าสองข้างทาง ถามแล่ได้ความว่าคนเหล่านี้คือ ชาวลาวเทิน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมในแถบนี้ เห็นเด็กๆ ถีบจักรยานกลับมากินข้าวที่บ้านตอนพักกลางวัน เด็กนักเรียนผู้หญิงที่นี่ใส่เสื้อเชิ้ตนุ่งผ้าซิ่นไปโรงเรียน นับเป็นชุดนักเรียนที่ยังคงความเป็นอัตลักษณ์ของประเทศไว้ให้เห็นได้

ระหว่างทางรถจะจอดแวะให้กินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารที่บ้านบังกะโล เป็นร้านอาหารอยู่ริมหน้าผา อากาศดีวิวสวย หน้าร้านอาหารก็จะมีชาวบ้านเอาผักและอาหารสดมาวางขายให้คนผ่านทางได้แวะซื้อ ฉันเห็นคนลาวหลายคนแวะซื้อผักสดที่นี่ไปคนละหลายๆกำ มีแม่ค้าเรียกให้ฉันซื้อผักของเขาเหมือนกัน ฉันก็ได้แต่ตอบเขาไปว่า “ซื้อบ่ได้ บ่ได้แต่งกิน” แปลว่า ซื้อไม่ได้เพราะไม่ได้ทำกับข้าวกินเอง

จากจุดแวะพักกินข้าว เราต้องเดินทางไปต่ออีกประมาณห้าชั่วโมงบนเส้นทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาสูง ในที่สุดฉันก็มาถึงหลวงพระบางราวหนึ่งทุ่ม รถมาจอดที่สถานีรถประจำทาง จากที่นั่นเราต้องนั่งรถจัมโบ้ (ตุ๊กๆ) เข้าไปในตัวเมืองอีกประมาณไม่เกินสิบนาที ค่ารถคนละ ๒๐,๐๐๐ กีบ (๘๐ บาท) รถจะจอดที่บริเวณสามแยก ใกล้ๆร้านกาแฟโจมา จากที่นั่นเราต้องเดินไป เพราะตอนกลางคืนถนนเส้นที่เราจะไปจะปิดเพื่อเปิดเป็นตลาดมืด เราเดินอีกไม่ไกลก็ถึงวัดใหม่สุวรรณาราม แล่แวะเอาของไปฝากไว้ที่วัดใหม่ฯ เพราะว่าเขาจะไปนอนพักที่กุฎิของครูบาดีซึ่งเป็นศิษย์รุ่น ๓ในโครงการอบรมและพัฒนาพระสงฆ์ที่แล่ทำงานอยู่ แล่บอกว่าถ้าวัดนี้มีแม่ขาว ฉันคงได้นอนที่วัดกับแม่ขาวไม่ต้องเสียเงินค่าที่พัก อย่างไรก็ตามแถวๆวัดใหม่และบริเวณถนนเส้นนี้มี guest house เยอะมาก จนไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่นอน ยิ่งในฤดูกาลปลายฝนต้นหนาวซึ่งเป็น low season แบบนี้ยิ่งไม่ต้องห่วง มีให้เลือกเหลือเฟือ



จากวัดใหม่เราเดินลัดเลาะหา guest house ใกล้ๆแถวนั้นเพื่อหาที่พักให้ฉัน เราเดินผ่านหน้าวังเจ้าชีวิต (กษัตริย์) ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เลี้ยวเข้าไปในซอยถนนอุ่นเฮือนข้างรั้ววัง ที่นั่นฉันได้ที่พักที่พูสีเกสต์เฮาส์ ในราคาคืนละ 450 บาท เมื่อเก็บข้าวของในที่พักเรียบร้อย เราก็เดินออกมาหาข้าวเย็นกิน ฉันพูดว่าไป “หาข้าวกินกัน” แล่บอกว่า ถ้าพูดว่าไปหาข้าวกิน คนลาวจะหมายถึง มีกับข้าวทำเสร็จแล้วอยู่ในบ้าน ให้ไปตักกินได้เลย แต่กรณีอย่างฉันนี้ต้องพูดว่า “ไปซื้อกิน” จึงจะถูก

อาหารค่ำมื้อแรกในหลวงพระบาง ฉันได้กินอาหารบุฟเฟ่ต์มังสวิรัติราคาจานละ ๕๐๐๐ กีบ ( ๒๐ บาท) ที่ข้างรั้ววัดใหม่ฯนั่นเอง มีอาหารให้เลือกหลากหลายพอใช้ ในราคามิตรภาพ จะตักมากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ตักได้ครั้งเดียวจานเดียว ปกติหากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวร้านนี้คนจะแน่นมาก ต้องต่อคิวซื้อและม่มีที่นั่งว่างเลย (อ่านจากในเน็ต) แต่วันนี้ ผู้คนบางตา ฉันกับแล่เลยเลือกตักเลือกกินเลือกนั่งได้ตามใจชอบ



หลังจากมื้อค่ำเราก็ไปเดินเตร็ดเตร่ดูข้าวของเที่ยวชมตลาดมืดกัน มีสินค้าหัตถกรรมหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทอมือ ผ้าปักเย็บลวดลายต่างๆตามแบบฉบับของลาว มีงานไม้งานแกะสลัก และภาพเขียนกระดาษสามากพอควร สังเกตดูแม่ค้าที่นี่หน้าตาสวยงาม น่ารัก กันเกือบทั้งนั้น มีทั้งสาวรุ่นๆ และสาวใหญ่ บางร้านก็มาเป็นครอบครัว บ้างก็เป็นชนเผ่า บางร้านก็เป็นคนหลวงพระบาง ก่อนมาที่นี่หยีกับแล่บอกว่าสาวๆที่หลวงพระบางน่ะสวยๆทั้งนั้น เพราะสมัยก่อนจะมีการคัดเลือกสาวๆหน้าตาดีมาอยู่ที่เมืองนี้เพื่อให้เจ้าชีวิตหรือขุนนางเลือกไปเป็นนางสนม นางกำนัล และมรดกแห่งความงามของคนรุ่นก่อนก็ยังคงตกทอดสืบต่อมามายังสาวๆรุ่นนี้ ไม่รู้ตำนานที่ว่าจะจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ต้องยอมรับว่าสาวๆที่นี่ส่วนใหญ่หน้าตาสวยงามสมคำร่ำลือ


แม่ค้าพ่อค้าทุกคนจะทักทายนักท่องเที่ยวด้วยคำว่า “สะบายดี” คำว่าสบายดีจึงเป็นคำที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเกือบทุกคนฟังเข้าใจและพูดได้ชัด แล่บอกว่าถ้าเป็นช่วง high season เราแทบจะไม่มีที่เดินและต้องไหลไปกับผู้คน แต่ตลาดมืดในวันนี้มีแม่ค้ามากกว่านักท่องเที่ยว ถนนโล่งว่าง เราก็เลยเดินได้อย่างสบายๆ แถมยังสามารถต่อรองขอลดราคาสินค้าได้มากกว่าฤดูกาลท่องเที่ยว ฉันได้แวะซื้อผ้าพาดไหล่ที่เพิงแถวๆนั้น แม่ค้าน่ารัก หยิบสินค้าให้เลือกแบบเต็มใจมาก ฉันยังไม่ทันจะเอ่ยปากว่าอะไร ผ้าทอลายสีสันต่างๆ ก็มาแผ่ปูวางให้เลือกสรรมากมายตรงหน้า ฉันเลือกผ้าและของฝากมาได้สี่ห้าชิ้น พอจ่ายเงินเสร็จแม่ค้าสาวสวยรีบเอาเงินไปแตะๆสินค้าในร้านให้ทั่วๆ พลางบอกว่าวันนี้เราได้มาประเดิมร้านเขา

หลังจากเดินชมตลาดและบรรยากาศยามค่ำต่อไปอีกจนเกือบสุดถนน เราก็แยกย้ายกันกลับไปที่พัก ฉันบอกแล่ว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาใส่บาตรข้าวเหนียว มาหลวงพระบางทั้งทีจะพลาดโปรแกรมสุดฮิตนี้ได้ไง ก็เลยนัดกันว่าเราจะมาเจอกันอีกทีที่บริเวณตักบาตรข้างรั้ววัดตอนหกโมงเช้าวันพรุ่งนี้

Tuesday, September 15, 2009

ทบทวนชีวิต


ลองนั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เป็นอยู่ และกำลังจะเป็นไป ในช่วงเวลาสั้นๆของยามค่ำคืน แม้จะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองมาอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ว่า เราเกิดมาทำไม มีอะไรที่เราต้องการทำบนโลกใบนี้บ้าง ภารกิจ(ทางจิตวิญญาณ)ของเราคืออะไร เป้าหมายสูงสุดในชีวิตในชาตินี้ของเราคืออะไร แล้วตัวเราได้เข้าใกล้เป้าหมายนั้นไปแล้วบ้างหรือยัง

ในหลายขวบปีที่ผ่านพ้นมานั้นบางคำถามก็อาจได้พบพานคำตอบ บางคำถามก็ยังคงดำรงอยู่ภายใน เฝ้ารอคอยคำตอบอย่างอดทน จำได้ว่าตอนที่เยาว์วัยกว่านี้ เราเร่งร้อนที่หาคำตอบต่างๆให้เจอเร็วๆ อยากรู้เร็วๆ จะได้รีบๆ ทำ จะได้รีบๆบรรลุเป้าหมายชีวิตเหล่านั้นโดยเร็ว มีชีวิตก็ต้องรีบใช้ ต้องรีบทำ ต้องรีบลองเรียนรู้และแสวงหาประสบการณ์ เป็นมนุษย์ผู้หิวโหยประสบการณ์

มาบัดนี้อายุมากขึ้น เราเริ่มช้าลง ความร้อนรนเริ่มจางคลาย ความอดทนในการเฝ้ารอมีมากขึ้น เริ่มละเลียดในการผ่านพ้นวันคืนและการใช้ชีวิตมากขึ้น เริ่มตระหนักว่าหลายๆคำถามที่มีอาจจะยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนตอบ พี่ที่นับถือคนหนึ่งเคยบอกว่า "อย่าฆ่าคำถามดีๆ ด้วยคำตอบห่วยๆ" และคำถามดีๆบางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเสมอไป ใช่หรือไม่?

ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า การเร่งร้อนแสวงหาประสบการณ์ในวัยเยาว์เป็นสิ่งไม่ดี การช้าลงและเฝ้ารอในตอนนี้ดีกว่า สำหรับเราแล้ว การใช้ชีวิตทั้งสองแบบแม้จะแตกต่าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเฉกเช่นเดียวกัน ในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการทดลองเรียนรู้ที่เราชื่นชอบทั้งสิ้น

เราค้นพบว่า สิ่งหนึ่งที่เราปรารถนามาตลอดคือ อิสระภาพ การใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ ความเบิกบาน-ความมั่นคงภายใน การบรรลุธรรม(เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง) การได้ช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้เติบโตและค้นพบความสุขที่แท้จริงภายในตนเอง และความสามารถที่จะรักมนุษย์ทุกคนได้เหมือนอย่างที่จักรวาลรัก

เราได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากครูทางธรรมคนแรกในชีวิต ท่านเป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจให้เราเลือกที่จะเป็นครูเช่นเดียวกันนั้นให้กับคนอื่นๆต่อไป เราปรารถนาว่า เราได้สร้างแรงบันดาลให้กับผู้คนในการเติบโตและเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความสุขภายในที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มั่นคงยิ่งกว่า ความสุขนั้นเปรียบได้กับแหล่งน้ำพุทางจิตวิญญาณที่ไหลรินพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา

และการเป็นครูทางจิตวิญญาณนั้น มิได้ผูกติดยึดโยงหรือตีกรอบอยู่ภายใต้ศาสนาใดๆ หากแต่เปิดรับและน้อมรับคำสอนและสัจจะธรรมที่ดำรงอยู่ในทุกๆศาสนาอย่างให้ความเคารพ ไม่แตกต่างกัน เป็นสัจจะที่เป็นกลางเป็นสากลของมนุษยชาติ

จนถึงบัดนี้เราก็ยังไม่รู้หรอกว่า เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ด้วยวิธีการใด อย่างไรหรือเมื่อไหร่ แต่มันคือความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆภายในใจว่า หากสิ่งที่เราปรารถนานั้นเป็นสิ่งดีงามและเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติแล้วไซร้ จักรวาลจะจัดสรรโอกาสและเส้นทางมาให้แก่เราเอง เส้นทางนั้นจะปรากฎในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรารู้ดีว่าเราอยู่บนเส้นทางและอยู่ในแผนการของจักรวาล ดำรงอยู่มาแล้วเสมอมา ตลอดเวลา

บนเส้นทางของความสัมพันธ์


เมื่อเร็วๆนี้ได้รับทราบข่าวคราวของเพื่อนคู่หนึ่ง เป็นคู่ที่เรารู้จักตั้งแต่เขายังคบเป็นแฟนกัน จนกระทั่งแต่งงานมีลูกสาวหนึ่งคน ยังจำได้ถึงภาพครอบครัวเล็กๆที่น่ารักของสามคนพ่อแม่ลูก ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่เรารู้สึกชื่นชมเสมอในความสามารถและความมีน้ำใจ

ข่าวคราวล่าสุดที่ทราบคือ หลังจากใช้ชีวิตคู่กันมาร่วม 10 ปี มาบัดนี้ความสัมพันธ์ดูคล้ายจะเปราะบางและอ่อนไหว ฝ่ายชาย(คือรุ่นพี่ที่เรานับถือ)เขียนจดหมายบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา บอกเล่าถึงความหวั่นไหว ไม่มั่นคง ความเสียใจ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้ตื่นรู้และเติบโตขึ้นจากปัญหาที่เผชิญในความสัมพันธ์อย่างมากมาย มีหลายคำถามที่เขาถามแล้วทำให้เราได้คิด เขาถามว่าในช่วงหลายขวบปีที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานั้น มันคงมีบางสิ่งที่เขาคุ้นชินและละเลยไป จนทำให้เมื่อถึงวันนี้มันก็สายเกินสำหรับฝ่ายหญิงที่จะย้อนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง

ภรรยาของเขา (เพื่อนของเรา) ได้บอกกับสามีอย่างตรงไปตรงมาว่า ถึงตอนนี้มันเลยจุดนั้นของความสัมพันธ์ไปแล้ว เลยจุดที่เธอจะหวนย้อนคืน เธอไม่พบว่าตนเองยังรักเขาอีกต่อไป และเธอต้องการอิสระภาพเพื่อได้ทำตามในสิ่งที่ตนเองเคยฝันไว้ อาจเป็นเพราะการต้องแบกรับภาระแห่งการเป็นภรรยาและเป็นแม่ ทำให้ความฝันเหล่านั้นถูกเก็บงำซุกซ่อนไว้มายาวนานนับหลายปี

แม้ถึงตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ยังคงอ่อนไหวและเปราะบาง ไม่อาจล่วงรู้ผลลัพธ์ในบั้นปลาย เรายังคงรู้สึกชื่นชมคนทั้งคู่ ชื่นชมในความกล้าหาญที่จะเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของฝ่ายชาย ชื่นชมในความกล้าในการตัดสินใจเพื่อไล่ตามความฝันของฝ่ายหญิง ชื่นชมในความกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่เป็นอยู่ และเลือกที่จะเติบโตขึ้นจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่

เรื่องนี้สำหรับเราแล้ว คงไม่ใช่คำถามว่า แล้วใครถูกหรือใครผิด แต่คงเป็นคำถามว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเรา เราจะเลือกเติบโตขึ้นจากมันอย่างไร

บนเส้นทางของความสัมพันธ์นั้นไม่มีคำตอบตายตัว ไม่มีการการันตีใดๆ ความเปลี่ยนแปลงต่างหากคือที่ดำรงอยู่ในคุณภาพของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์คือโอกาสที่จิตวิญญาณจะได้เติบโตอย่างที่ตนต้องการ

จิตวิญญาณสองดวงเลือกที่จะพบกัน บางทีก็เพื่อที่จะเติบโตด้วยกันไปสักระยะ ก่อนจะตัดสินใจแยกย้ายหรือแยกทาง หากแต่บางครั้งก็อาจจะเลือกที่จะเติบโตด้วยกันไปจวบจนสิ้นอายุขัยในช่วงชีวิตนี้ (เราล้วนเกิดและตายมาหลายชาติภพ มีคู่แท้มากมายที่ได้ผ่านพบในแต่ละชาติ)

ทางเลือกในชีวิตมีมากมายหลายเส้นทางที่ทับซ้อนและโยงใยพาดผ่านกันไปมา เมื่อชีวิตมาถึงทางแยก และเมื่อจำเป็นต้องเลือก ก็ขอให้เราได้เลือกอย่างกล้าหาญ ซื่อสัตย์และจริงใจต่อตนเอง

Friday, August 28, 2009

พลังแห่งศรัทธา ปกาเกอะญอ

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6835 ข่าวสดรายวัน

อาจารีย์ เอมชุ่มรส

การเดินทางของทีมงานรายการพันแสงรุ้ง แต่ละครั้งนอกจากจะเก็บเกี่ยวข้อมูลและประสบการณ์ เพื่อถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวของพี่น้องหลากหลายชาติพันธุ์ร่วมผืนแผ่นดินผ่านสถานีโทรทัศน์ทีวีไทยแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ได้พบเจอ เปิดใจ และเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ของวิถีปฏิบัติทางศาสนา ของเหล่าพี่น้องชาวกะเหรี่ยง ในประเทศไทยมีกะเหรี่ยงหลายกลุ่ม แต่กลุ่มหลักๆ คือ "กะเหรี่ยงสะกอ" หรือ "ปกาเกอะญอ" "ปกาเกอะญอ" เป็นคนไทยภูเขากลุ่มใหญ่สุดในประเทศ มีอัตลักษณ์เด่นชัดเรื่องเคารพธรรมชาติ ใช้ไม้เคารพป่าไม้ ใช้น้ำเคารพแหล่งน้ำ เพราะความอ่อนน้อมของปกาเกอะญอต่อสรรพสิ่ง ทำให้การนับถืออำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นหลักยึดให้กับชีวิตและจิตวิญญาณของบรรพชนมานับพันปี ถ่ายทอดผ่านประเพณี พิธีกรรม คำสอน และหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่า

แต่หลังจากโลกเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นสมัยใหม่ ปกาเกอะญอต้องเผชิญปัญหาในยุคล่าอาณานิคมจากตะวันตก การครอบงำจากนครรัฐสมัยใหม่ อยู่ท่ามกลางอำนาจของพม่า สยาม อังกฤษ พร้อมๆ กับการแย่งชิงทรัพยากรสินแร่และป่าไม้ ที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ในดินแดนบรรพชน ละแวกแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำเมย รวมทั้งการเดินทางมาถึงของศาสนาใหม่ๆ เช่น ศาสนาคริสต์ โดยคณะมิชชันนารี นำไปสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่คน ปกาเกอะญอต้องคิดทบทวน และเลือกตัดสินใจในหนทางของตน

ศาสนาคริสต์เข้ามาไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ยุคแรกเป็นพิธีกรรมทางศาสนากันในกลุ่มคนต่างชาติ และค่อยๆ มีคนไทยหันมานับถือศาสนาคริสต์ในพื้นที่ต่างๆ แต่การเผยแพร่คริสต์ศาสนาไปยังผู้คนแถบเทือกเขา โดยเฉพาะในกลุ่มกะเหรี่ยงต่างๆ เกิดขึ้นในช่วง 100 กว่าปีมานี้เอง

ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ เข้ามาถึงปกาเกอะญอในภาคเหนือ เนื่องจากความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างปกาเกอะญอฝั่งไทยกับพม่า ที่เดินทางไปมาหาสู่เหนือเขตพรมแดน ทางคณะมิชชันนารีได้เดินทางนำคำสอน การศึกษา และสาธารณสุข เข้าไปสู่ชนเผ่าห่างไกล เป็นจุดเริ่มต้นเปิดรับศรัทธาและความเชื่อใหม่ของปกาเกอะญอ

ศาสนาจารย์ซันนี แดนพงพี เลขาธิการคณะคริสตจักรกะเหรี่ยงแบ๊บติสท์ เล่าว่า การแพร่ธรรมสู่ปกาเกอะญอในยุคแรก ผ่านในรูปของนิทาน หรือกลอนของชาวกะเหรี่ยง เรียกว่า "ทา" กล่าวถึงพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่าพระเจ้า ทำให้พี่น้องปกาเกอะญอเปิดใจ นับถือศรัทธาพระเจ้าในศาสนาคริสต์ และนำมาประยุกต์เข้ากับความเชื่อดั้งเดิมของบรรพชน ปัจจุบันปกาเกอะญอประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาพุทธและอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่แนวโน้มของการปรับเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายโรมันคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ ยังคงเพิ่มสูงขึ้น รวมกว่า 30,000 คน

ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง ผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ทรรศนะว่า ระบบศาสนาดั้งเดิมนับถืออำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะพิธีกรรมที่จะต้องให้ลูกหลานคนในตระกูลอยู่พร้อมหน้า มีพิธีล้มหมู เซ่นสังเวยต่างๆ พร้อมๆ กับการมาถึงของชีวิตแบบโลกสมัยใหม่ ทำให้ศาสนาดั้งเดิมเริ่มไม่ตอบสนองต่อชีวิต ปรับตัวไม่ได้ เมื่อปรับยากจึงต้องเปลี่ยนกรอบความคิดเป็นระบบใหม่ ความเป็นจริงในวันนี้คือ ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต้องเข้าสู่วิถีแห่งโลกสมัยใหม่

ด้านคุณยายกริปอย วัย 78 ปี แม่เฒ่าปกาเกอะญอแห่งบ้านดอกแดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ คนรุ่นแรกที่เปลี่ยนมาเป็นนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เล่าถึงสาเหตุตัดสินใจครั้งสำคัญว่า

"ลูกหลานต้องเดินทางไปเรียนในเมือง ไม่สามารถกลับมาร่วมพิธีสำคัญภายในครอบครัวได้ โดยเฉพาะพิธีเอาะบกา หรือพิธีกินเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างวงศาคณาญาติ ที่สมาชิกทุกคนต้องอยู่ร่วม หากไม่ครบจะเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นกับคนในครอบครัว อีกทั้งของเซ่นไหว้ที่ใช้ในแต่ละครั้ง เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เมื่อมิชชันนารีเดินทางเข้ามาถึงหมู่บ้านในช่วงเกือบ 50 ปีที่แล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ และไม่ประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีอีกเลย"

ถึงวันนี้ หมู่บ้านปกาเกอะญอส่วนใหญ่อยู่ร่วมกันทั้งศาสนาดั้งเดิม พุทธ และคริสต์ สำหรับปกาเกอะญอคริสต์ แม้ต้องละทิ้งการปฏิบัติด้านพิธีกรรมและความเชื่อที่เกี่ยวกับการเซ่นไหว้ผี แต่หลายพื้นที่ทางทีมงานยังได้พบการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับพิธีกรรมของคริสต์ที่ศูนย์อบรมเด็กชาวไทยภูเขาบ้านแม่ปอน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ทีมงานได้เห็นภาพซิสเตอร์พาเด็กๆ ไปปักไม้กางเขน และสวดภาวนาริมคันนา เพื่อให้พืชพันธุ์ออกผลงอกงามดี

ระหว่างการเดินทางสำรวจข้อมูลในพื้นที่ ทีมงานได้พบกับความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันในงานแต่งงาน ระหว่างสตรีชาวปกาเกอะญอที่นับถือศาสนาดั้งเดิม กับหนุ่มปกาเกอะญอคริสต์ นิกายคาทอลิก ที่บ้านห้วยข้าวลีบ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ งานจัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาว มีขั้นตอนการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณบรรพบุรุษ และดื่มเหล้าแบบพิธีดั้งเดิม แต่บาทหลวงให้ศีลและประกอบพิธีแลกแหวนแต่งงานแบบคริสต์ การอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนเอง ถึงแม้แต่ละครอบครัวจะมีศรัทธาความเชื่อที่เคารพนับถือแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ในชุมชนลดลงตามไปด้วย ปกาเกอะญอคริสต์คาทอลิก หลายครอบครัวยังคงต้มเหล้าพื้นบ้าน เพื่อร่วมกันดื่มกินกับคนในชุมชนที่มาช่วยเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว

"ชิ"สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ปกาเกอะญอนักพัฒนารุ่นใหม่ แสดงความกังวลในเรื่ององค์ความรู้ดั้งเดิมที่อาจหายไป เช่น สมุนไพรที่เป็นภูมิปัญญาการรักษาโรคของปกาเกอะญอถูกลดค่าลงจากการรับเอายาแผนปัจจุบันเข้ามาแทนที่ หากผู้รับศาสนาไม่เข้าใจว่าการเป็นคริสเตียนที่แท้จริง คือการเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่เดิมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น มิใช่การละทิ้งสิ่งที่เป็นสมบัติของชาติพันธุ์

"ผมอยากให้ชาวปกาเกอะญอคริสต์ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง เป็นคริสต์ที่เกิดจากการเข้าใจคริสต์จริงๆ ถ้าเราไม่เข้าใจ ทำให้เราเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฝรั่งก็ไม่ใช่ ปกาเกอะญอก็ไม่ใช่ ไปไม่ได้ อยู่ก็ไม่มีความสุข คนที่จะเป็นคริสต์ขอให้เป็นคริสต์แบบคนปกาเกอะญอ"เช่นเดียวกับศาสนาจารย์ซันนี แดนพงพี เลขาธิการคณะคริสตจักรกะเหรี่ยงแบ๊บติสท์ ให้ทรรศนะแทนปกาเกอะญอคริสต์ โปรเตสแตนต์ ว่า อยากให้นำการอื่อทาของคนปกาเกอะญอกลับมารื้อฟื้นใหม่ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา แต่เป็นวิถีชีวิตที่สามารถเล่าสู่คนรุ่นต่อไปได้

เรื่องราวของพี่น้องปกาเกอะญอนับถือศาสนาคริสต์ ถ่ายทอดผ่านรายการ "พันแสงรุ้ง" ในสารคดีชุดศรัทธาของปกาเกอะญอ ทั้งปกาเกอะญอคริสต์ นิกายคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ มีทั้งหมด 3 ตอน วันอาทิตย์ที่ 16 ส.ค.นี้ ตอน "พลังแห่งศรัทธา" ที่สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย

Tuesday, August 25, 2009

“ก้าวสำคัญของสภาศาสนสัมพันธ์กับงานเสริมสร้างสันติภาพในประเทศไทย”


หลังจากการประชุมจัดตั้ง “สภาศาสนสัมพันธ์เพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้” (Inter-religious Council for Peace in Southern Thailand) เรียกชื่อย่อว่า IRC (Thailand) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2552 ซึ่งเวลาผ่านไปได้ประมาณ 2 เดือนแล้วนั้น ในระหว่างวันที่ 6-7 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมพบปะกันระหว่างคณะกรรมการที่ปรึกษาและกรรมการดำเนินงานทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่อย่างเป็นทางการ ณ ห้องประชุมอิมนุลคอลดุล วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

การประชุมในวันแรก ได้มีการพิจารณาวัตถุประสงค์ของสภาฯ ให้รัดกุมขึ้น กล่าวคือ นอกเหนือจากการส่งเสริมความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ ความเข้าใจ ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา ที่ประชุมได้เน้นบทบาทของการเสนอแนวทางสร้างสรรค์ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้และในสังคม ตลอดจนการเน้นการศึกษาและการนำหลักศาสนามาใช้ให้เป็นพลังในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ขยายขอบเขตพื้นที่การดำเนินงานของสภาฯ ให้ครอบคลุมจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง และรวมถึงพื้นที่อื่นที่สามารถประกอบกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสภาฯ ในระดับประเทศและนานาชาติด้วย จึงเห็นได้ว่า กิจกรรมของสภาฯ จะขยายให้กว้างขึ้นในระดับการนำสันติภาพและการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศด้วย ดังนั้น งานของสภาฯ ในปลายปีนี้ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสานเสวนาระหว่าง IRC (Srilanka) กับ IRC (Thailand) และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน จากประสบการณ์ สถานการณ์ และบทเรียนของแต่ละฝ่ายที่จะนำสันติภาพมาสู่สังคม การประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ จะเป็นการเปิดตัวสภาฯ อย่างเป็นทางการในระดับชาติและเป็นการสื่อสารกับสังคมในประเด็นสันติภาพอีกด้วย

งบประมาณของการดำเนินงานของสภาฯนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก WCRP (The World Conference of Religions for Peace) ที่ประชุมเสนอให้ขอทุนสนับสนุนจากเครือข่ายและหน่วยงานต่างๆในประเทศไทย เพื่อการมีส่วนร่วมกับงานของสภาฯ สภาฯจะมีสถานภาพในฐานะเป็นสาขาหนึ่งของ WCRP โดยมีศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสำนักงานและทำหน้าที่เป็นสำนักเลขานุการ สภาฯจะไม่ดำเนินงานในรูปแบบมูลนิธิเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเป็นอิสระในการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ในด้านสันติภาพให้มากที่สุด

งานของสภาฯมุ่งเน้นในการทำกิจกรรมเพื่อสร้างเครือข่ายที่ทำงานทางศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับทุกศาสนา โดยรวมทั้งผู้นำศาสนา เยาวชน สตรี ฯลฯ ร่วมเรียนรู้ร่วมกันระหว่างศาสนา ในการนี้ สภาฯวางแผนที่จะสื่อสารกับสังคมที่สะท้อนความเข้าใจระหว่างศาสนาเพื่อสันติภาพ ในรูปของสิ่งพิมพ์ และเอกสารตำราในโอกาสต่อไป

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ที่ประชุมสภาฯได้พิจารณา ได้แก่ การปฏิบัติการในการสื่อสารกับสังคมอย่างทันท่วงที เพื่อขจัดอคติและความเข้าใจผิดที่อาจมีกลุ่มบุคคลใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้เกิดความแตกแยก ความไม่ไว้วางใจระหว่างกัน เช่น ในกรณีที่มีการล่วงเกินต่อศาสนสถาน ศาสนวัตถุและศาสนบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า สภาศาสนสัมพันธ์จะใช้เครือข่ายในชุมชนเพื่อตรวจสอบข่าวเหตุการณ์ การให้ข่าว ให้ข้อเท็จจริงจากพื้นที่ให้มากที่สุด และนำเสนอกรรมการสภาฯเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างศาสนาให้มีการสื่อสารต่อสังคมฯ อย่างทันท่วงที เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดความหวาดระแวงระหว่างศาสนา จนอาจกลายเป็นความรุนแรงระหว่างศาสนาได้ในที่สุด

กิจกรรมของสภาฯภายหลังการเสร็จสิ้นการประชุมในวันแรกนี้ คือ การเดินทางไปเยี่ยมเยียนพบปะพูดคุยกับพระสงฆ์และชาวบ้านผู้ประสบเหตุการณ์ความรุนแรง ณ วัดคลองทรายใน หมู่ 5 ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา ณ ชุมชนชาวพุทธแห่งนั้น กรรมการของสภาฯ จากศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู และซิกซ์ ได้แนะนำตัวและวัตถุประสงค์ในการมาเยี่ยมเยียน พร้อมกับให้กำลังใจและผนึกพลังให้ชาวบ้านและพระสงฆ์ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงได้มั่นใจว่า บุคคลากรทางศาสนาจะไม่ทอดทิ้งและจะร่วมมือกันเพื่อใช้วิถีทางทางศาสนาของตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความรุนแรง ให้เกิดความปลอดภัยกับชีวิตและทรัพย์สินของชุมชนศาสนาให้มากที่สุด

หลังจากนั้น พระสมุห์คล่อง เจ้าอาวาสวัดคลองทรายใน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านได้เล่าถึงความเป็นมาของชุมชนพุทธแห่งนี้ ตลอดจนความรุนแรงและผลกระทบที่ได้รับ มีคำถามจากชาวบ้านที่ถามกรรมการสภาฯ ที่สะท้อนความกังวลของชุมชนว่าสันติภาพคืออะไร ทำอย่างไรชุมชนที่เคยสงบสุขจะปลอดภัยจากความรุนแรงเช่นนี้ได้




ในวันรุ่งขึ้น กรรมการสภาฯได้เดินทางไปเยี่ยมพี่น้องมุสลิม ณ มัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอปาแย อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ได้พบกับคอเต็บ ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้าน กลุ่มผู้หญิงที่สามีและบุคคลในครอบครัวถูกฆ่าตายขณะทำละหมาด และผู้บาดเจ็บที่ถือไม้เท้ามาร่วมพูดคุยกับกรรมการสภาฯ ในวันนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ และการยกคำสอน คำแนะนำของแต่ละศาสนามาเป็นแง่คิดให้ทุกคน อดทน มั่นคง เพื่อแสดงความศรัทธาต่อคำสอนของศาสนาของตน ชาวบ้านหลายคนได้สื่อสารด้วยภาษามลายูจากใจเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของตน

การยี่ยมเยียนชุมชนศาสนาทั้งสองแห่งนี้ ถือเป็นภารกิจหลัก และเป็นกิจกรรมสำคัญของสภาศาสนสัมพันธ์ที่ลงพื้นที่เพื่อ “ฟังด้วยใจ” เพื่อก้าวพ้นความแตกต่างในทางศาสนา และเพื่อส่งสัญญาณของความร่วมมือระหว่างศาสนาที่พวกเราจะไม่ทอดทิ้งกัน เมื่อมีการก้าวล่วงความปลอดภัยของศาสนชุมชนทั้งหลาย กรรมการสภาฯได้นำเงินจำนวนหนึ่งมอบให้ชุมชนทั้งสองแห่งเพื่อเป็นกำลังใจในเบื้องต้น กำลังหน่วยเฉพาะกิจ (ฉก.) ของ จ.ยะลาและนราธิวาสได้ร่วมต้อนรับคณะกรรมการสภาฯด้วยความเข้มแข็ง พวกเราขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ความมือร่วมใจของผู้นำศาสนาและศาสนิกชนของหลายๆ ศาสนาที่ร่วมทำงานในนามของสภาศาสนสัมพันธ์นี้ เป็นการเริ่มต้นของ “จิตอาสา” ที่พร้อมที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงอคติระหว่างกันให้มากขึ้น สังเกตได้จากบรรยากาศการพูดคุยในระหว่างการเยี่ยมเยียนชุมชนทั้งสองเป็นไปด้วยความผ่อนคลาย และเป็นกันเองของผู้คนที่มาจากความเชื่อต่างกัน แต่เขาเหล่านั้นได้แสดง “การเคารพต่อความเป็นมนุษย์ผู้มีความแตกต่าง” ของกันและกัน เพื่อร่วมทำงานนำสันติสุขมาสู่สังคมไทยอีกช่องทางหนึ่ง

Sunday, July 5, 2009

When God talks about Relationship (Book I)



Relationship are sacred because they provide life's grandest opportunity--indeed, its only opportunity--to create and produce the experience of your highest conceptualization of Self. Relationships fail when you see them as life's grandest opportunity to create and produce the experience of your highest conceptualization of another.

Let each person in relationship worry about Self--what Self is being, doing, and having; what Self is wanting, asking, giving; what Self is seeking, creating, experiencing, and all relationships would magnificently serve their purpose--and their participants!

Let each person in relationship worry not about the other, but only, only, only about Self.

This seems a strange teaching, for you have been told that in the highest form of relationship, one worries only about the other. Yet I tell you this: your focus upon the other--your obsession with the other--is what causes relationships to fail.

...If you cannot love your Self, you cannot love another. Many people make the mistake of seeking love of Self through love for another. Of course, they don't realize they are doing this. It is not a conscious effort. It's what's going on in the mind. Deep in mind. In what you call the subconscious. They think: "If I can just love others, they will love me. Then I will be lovable, and I can love me."

The reverse of this is that so many people hate themselves becuase they feel there is not another who loves them. This is a sickness--it's when people are truly "lovesick" because the truth is, other people do love them, but it doesn't matter. No matter how many people profess their love for them, it is not enough.

First, they don't believe you. They think you are trying to manipulate them--trying to get something. (How could you love them for who they truly are? No. There must be some mistake. You must want something! Now what do you want?)

They sit around trying to figure out how anyone could actually love them. So they don't believe you, and embark on a campaign to make you prove it. You have to prove that you love them. To do this, they may ask you to start altering your behaviour.

Second, if they finally come to a place where they can believe you love them, they being at onece to worry about how long they could keep your love. So, in order to hold onto your love, they start altering their behaviour.

Thus, two people literally lose themselves in a relationship. They get into the relationship hoping to find themselves, and they lose themselves instead.

This losing of the Self in a relationship is what causes most of the bitterness in such couplings.


Two people join together in a partnership hoping that the whole will be greater than the sum of the parts, only to find that it's less. They feel less thatn when they were single. Less capable, less able, less exciting, less attractive, less joyful, less content.

This is because they are less. They've given up most of who they are in order to be--and to stay--in their relationship.

Relationships were never meant to be this way. Yet this is how they are experience by more people than you could ever know.

It is because people have lost touch with (if they ever were in touch with) the purpose of relationships.

When you lose sight of each other as sacred souls on a sacred jouney, then you cannot see the purpose, the reason, behind all relationships.

The souls has come to the body, and the body to life, for the purpose of evolution. You are evolving, you are becoming. And you are using your relationship with everything to decide what you are becoming.

This is the job you came here to do. This is the joy of creating Self. Of knowing Self. Of becoming, consciously, what you wish to be. It is what is meant by being Self conscious.

...Your first relationship, therefore, must be with your Self. You must first learn to honor and cherish and love your Self.

You must first see your Self as worthy before you can see another as worthy. You must first see your Self as blessed before you can see another as blessed. You must first know your Self to be holy before you can acknowledge holiness in another.

Sunday, June 14, 2009

กฎทางจิตวิญญาณแห่งความมั่งคั่ง (จากคนไม่เอาถ่านผู้มั่งคั่ง)

กฎข้อที่ ๑ การให้อภัย

  • การให้อภัยคือก้าวแรกของการกำจัดเรื่องเก่าๆ เพื่อให้มีที่่ว่างสำหรับความมั่งคั่งที่จะหลั่งไหลเข้ามา
  • ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการให้อภัยคือการให้อภัยตนเอง
กฎข้อที่ ๒ การผูกมัด


  • คุณต้องผูกมัดตนเองเข้ากับความมั่งคั่ง กล่าวคือ ต้องการมัน เชื่อมั่นในมัน คุณต้องแบกรับหน้าที่ในการนำความร่ำรวยมาสู่ชีวิตคุณเอง
  • นี่คือข้อความที่จะช่วยให้คุณผูกมัดตัวเองเข้ากับผลลัพธ์อันมั่งคั่ง อ่านมันออกมาดังๆวันละสองครั้ง หนึ่งครั้งก่อนเริ่มต้นแต่ละวัน และอีกครั้งก่อนเข้านอน อ่านมันด้วยความรู้สึกและความเชื่อที่ว่า คุณได้ผูกมัดตัวเองกับผลลัพธ์ทางการเงินแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม และจะประสบความสำเร็จด้วย

"ฉันคือ ___________ (เติมชื่อคุณ) ต่อไปนี้คือการผูกมัดตัวเองของฉัน


ฉันตกลงใจที่จะเติมเต็มชีวิตด้วยความมั่งคั่ง

ฉันตกลงใจที่จะเติมเต็มชีวิตด้วยความสุข

ฉันตกลงใจที่จะทำตัวกล้าหาญ

ฉันตกลงใจที่จะลงมือทำสิ่งต่างๆในแง่บวก

ฉันตกลงใจกับผลลัพธ์แบบใหม่"

กฎข้อที่ ๓ จงรับเพื่อที่จะให้

  • จงรับด้วยความรู้สึกขอบคุณ กล่าว "ขอบคุณ" สำหรับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว
  • ทุกๆครั้งที่คุณชำระเงินหรือเขียนเช็ค จงขอบคุณ
  • ร้องขอให้มากขึ้น อนุญาตให้ตนเองร้องขอในสิ่งที่ต้องการ

กฎข้อที่ ๔ จงให้เพื่อที่จะรับ

  • การให้ที่ถูกต้องคือ การให้ในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง
  • จักรวาลมีความสมดุล ด้านหนึ่งคือความมั่งคั่งที่เดินทางมาหาคุณ คุณคือผู้รับความบริบูรณ์นั้น อีกด้านหนึ่งคือความมั่งคั่งที่เดินทางจากคุณไปสู่ผู้อื่น คุณคือผู้ให้ ทั้งสองด้านนี้ต่างสำคัญและต้องสมดุลกันทั้งสองด้าน

"ฉันรับความอุดมสมบูรณ์ของจักรวาลมาด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ฉันให้ผู้อื่นอย่างโอบอ้อมอารี"

How come that idiot's rich and I'm not?


วันนี้นั่งอ่านหนังสือ "รวยได้ไม่ต้องเอาถ่าน" (How come that idiot's rich and I'm not?) เขียนโดย Robert Shemin เพิ่งไปซื้อมาเมื่อวานซืนนี้เอง

หนังสือเล่มนี้สนุกดี มีแนวคิดพลิกกลับตาลปัตรต่อมุมมองที่มีต่อชีวิตและการเงิน ชนิดที่หลายๆคนคงอ้าปากค้างร้องเหวอ กันเลยทีเดียว

เมื่ออ่านมาเพียงไม่กี่หน้าและทดลองตอบคำถามไม่กี่ข้อตามแบบฝึกหัดในหนังสือ ฉันก็พบว่าสภาพของฉันในตอนนี้นี่มันช่างตรงกับพวก "เถรตรงถังแตก" เสียจริง พวกนี้จะทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง และทำให้ดีตามมาตรฐานที่วางไว้ คิดอยู่ในกรอบไม่กล้าล้ำเส้นใดๆ เพราะเชื่อว่านั่นคือหนทางเดียวที่นำสู่ความดีงามและความสำเร็จ พวกนี้ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา (และจะรู้สึกผิดหากปล่อยเวลาให้อยู่ว่างๆโดยไม่ทำอะไร รวมทั้งลงโทษเฆี่ยนตีตนเองเมื่อไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานที่วางไว้)

แต่แม้จะใช้ความพยายามยิ่งยวดเพียงไรก็ตาม กระนั้นพวกเถรตรงถังแตก ก็ไม่เคยที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขความอิ่มเอมใจได้อย่างแท้จริงและเต็มที่เลยสักครั้ง เพราะพวกนี้มักจะคิดกังวลถึงปัญหาและอุปสรรคและความไม่แน่นอนต่างๆในอนาคตอยู่เกือบตลอดเวลา พวกเถรตรงและถังแตกคือพวกที่พยายามว่ายทวนต้านกระแสแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต หรือไม่ก็พยายามเกาะยึดรากไม้ริมตลิ่งอยู่อย่างแข็งขันและดื้อดึง ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามวนเวียนอยู่ในหัวว่า ทำไมชีวิตฉันถึงต้องพยายามทำอะไรบางอย่างที่เหนื่อยยากลำบากขนาดนี้ด้วย ทำไมเพียงแค่การมีชีวิตอยู่ให้ดีอย่างที่ควรจะเป็นมันถึงได้ช่างยากเย็นขนาดนี้

ในขณะที่พวก "ไม่เอาถ่านผู้มั่งคั่ง" กลับมองชีวิตต่างออกไป เปิดรับและอิ่มเอมกับทุกอณูของความสุขในชีวิตอย่างที่ไม่ต้องดิ้นรนพยายามมากเท่าพวกเถรตรงถังแตก

มุมมองอันแสนจะพิสดารกลับตาลปัตรของพวกไม่เอาถ่านผู้มั่งคั่งในหนังสือเล่มนี้ ได้สะท้อนถึงหลักการและความเชื่อต่อชีวิตและจักรวาลที่สำคัญบางอย่าง ซึ่งใครๆหลายคนอาจจะหลงลืมไป

หลักการที่่ว่านั้นก็คือ
๑. แท้จริงแล้วหลักการแห่งความมั่งคั่ง ไม่ได้เกี่ยวกับเงิน แต่มันเกี่ยวกับเวลาและชีวิต
๒. เงินเป็นสิ่งที่จักรวาลจัดสรรมาให้ เป็นการกระทำของจักรวาล และจักรวาลนี้มั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์อย่างไม่มีขีดจำกัด

หมายเหตุ เพิ่งอ่านมาได้ห้าสิบกว่าหน้า หลักการแค่สองข้อนี้คือสิ่งที่ได้รับจากห้าสิบกว่าหน้าที่ว่า (จริงๆแล้วยังมีอีกหลายข้อ แต่สองข้อนี้โดนใจมักๆ)

หลักการทั้งสองข้อเป็นสิ่งที่ฉันเชื่ออยู่ลึกๆมานานแล้ว แต่บางครั้งก็หลงทางปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามสิ่งที่สังคมบอกว่าควรจะเป็น แทนที่จะให้มันเป็นไปตามสิ่งที่ฉันต้องการจะเป็น เช่นว่า ดิ้นรนสมัครงานในองค์กรใหญ่ที่มั่นคงและมีชื่อเสียง เพื่อมีรายได้ประจำที่มั่นคง ได้รับการยอมรับ ได้รับเกียรติและชื่อเสียงจากการทำงานในองค์กรนั้นๆ และจะได้สามารถเป็นที่มาของการหาซื้อบ้านและรถ และทรัพย์สินอื่นๆที่ต้องการและอย่างได้ แต่นั่นก็ต้องแลกกับอิสรภาพ และทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้ของชีวิต แลกกับการที่จะได้มีประสบการณ์ที่ไพศาลกว่า ลึกซึ้งกว่าในการใช้ชีวิตและการทำงาน

อืม...แต่ลองมาดูกันหน่อยสิว่าฉันได้รับอะไรดีๆบ้างจากองค์กรนี้ (แทนที่จะนั่งพร่ำบ่นถึงสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ)
แน่นอนฉันได้รับสิ่งดีๆมากมายจากองค์กรนี้ ได้ทำงานกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานมีเมตตา มีจิตใจที่เปิดกว้างและรับฟัง ฉันรู้สึกขอบคุณเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นอยู่จนถึงนาทีนี้ เป็นความรู้สึกสำนึกขอบคุณต่อโอกาส มิตรภาพและน้ำใจที่ได้รับจากทุกคน

ฉันได้รับโอกาสไปเรียนต่อ ป.โท ต่างประเทศด้วยทุนทางการศึกษาที่ส่งมาให้อย่างง่ายดาย ได้รับประสบการณ์อันล้ำค่าและน่าประทับใจจากครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกัน เป็นโอกาสอันล้ำค่าและเป็นความประทับใจที่คงจะไม่มีวันลืม รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณน้ำใจจากครูและเพื่อนทุกๆคนที่ดูแลฉันเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่เรียน ขอบคุณทุกๆคนมากๆ

ฉันได้ทำงานที่มีคุณค่าและได้มอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้รับการยอมรับและการนับถือ หรือกระทั่งคำชื่นชมจากหลายคน (นั่นเป็นสิ่งที่ฉันปรารถนา) รู้สึกได้ว่าตนเองมีคุณค่าบางอย่างจากงานที่ทำ

ฉันสามารถอาศัยชื่อเสียงและความมั่นคงขององค์กรกู้เงินซื้อบ้านอย่างที่อยากจะได้ บ้านมีบริเวณสำหรับปลูกต้นไม้และทำสวน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สะอาด สงบและมีเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร

(ดูสิ ไม่ว่าฉันจะพร่ำบ่นเช่นไร ชีวิตก็มีเรื่องให้ขอบคุณได้เสมอ)

แต่กระนั้น มันก็ยังคงมีบางอย่างที่ปรารถนายิ่งไปกว่านี้ นั่นคือ

การได้ทำงานที่ฉันสามารถเป็นนายของเวลา สามารถมีเวลาที่จะทำในสิ่งที่ปรารถนา เวลาสำหรับการเดินทางพักผ่อนหรือทำงานที่รัก เวลาที่เลือกได้เองว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ ตอนไหน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตอกบัตรเข้า-ออกงานตรงเวลา การมาสาย การถูกตำหนิใดๆ ฉันต้องการงานที่ให้เวลาต่อปรับตัว และยืดหยุ่นกับความต้องการทางจิตใจและทางกาย งานที่เอื้อต่อการเติบโต และให้เสรีภาพที่จะได้เลือก

งานที่มีคุณค่าช่วยให้ผู้คนได้เติบโตและค้นพบความสุข ศักยภาพภายในตนเองได้อย่างแท้จริง และแน่นอนเป็นงานที่ฉันรักที่จะทำอย่างสุดจิตสุดใจ สนุกกับมันได้ตลอดเวลา โดยไม่คิดว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำ..." แต่คิดและรู้สึกอย่างเต็มที่ว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันรักที่จะทำ..." เมื่อเราได้สร้างสรรค์และมอบของขวัญที่เรามีให้แก่โลกใบนี้อย่างสุดใจ (passionately give our gifts/presents to the others in this world) ความมั่งคั่่งต่างๆก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองอย่างไม่สิ้น


แน่นอนฉันชมชอบความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตอย่างยิ่งยวด เพราะมันนำพาความอิ่มเอมใจบางอย่างมาให้ และมันหมายถึงการที่เราสามารถให้สิ่งที่เรามีออกไปได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับฉันแล้วการมีเงินหรือความมั่งคั่งไม่ใช่ความบาปผิดอันใด เงินและความมั่งคั่งเหล่านี้คืออุปกรณ์หรือเครื่องมือที่จักรวาลส่งมอบมาให้เพื่อให้เราสามารถใช้มันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้

ฉันเชื่ออยู่เสมอว่า เงินเป็นภาพสะท้อนถึงสภาวะจิตของเรา กระแสการเงินที่ขัดสนสะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่ขาดแคลน และขัดสน ฉันใดก็ฉันนั้น กระแสการเงินที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ก็สะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน จักรวาลจะส่งมอบเงินและความมั่งคั่งมาให้มากเท่าที่เราจะเปิดรับได้ ตามสภาวะจิตใจของเราเอง เพราะจักรวาลนั้นมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจักรวาลนั้นพร้อมที่จะให้เราอย่างเต็มที่อยู่แล้วตลอดเวลา ตลอดมา


เมื่อลองแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ยามค่ำคืน เราจะพบว่ามีดวงดาวนับแสนๆล้านๆ ดวง กระจายตัวมากมายอยู่ในจักรวาลนี้ นั่นคือทรัพย์สมบัติทั้งหมดอันประมาณมิได้ที่จักรวาลสร้างขึ้น และการสร้างนั้นดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากจะเปรียบกันแล้วโลกเป็นเพียงแค่เศษผงฝุ่นเล็กๆในจักรวาล (มนุษย์เปรียบเหมือนเชื้อไวรัสที่เกาะอาศัยเศษฝุ่นเม็ดนั้นเพื่อดำรงชีวิตอยู่--อาจจะเป็นการเปรียบที่โหดร้ายไปสักหน่อย) ที่ได้รับความรักและการดูแลอย่างไม่มีประมาณจากจักรวาลไม่แตกต่างจากดาวดวงและสรรพสิ่งอื่นใด
เพราะฉะนั้นจะนับประสาอะไรกับเงินซึ่งเป็นเพียงแค่หนึ่งในพันล้านของเศษเสี้ยวแห่งความมั่งคั่งอันไพศาลของจักรวาลนี้ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์มหาศาลอื่นๆที่จักรวาลได้สรรสร้างไว้อย่างไร้ขอบเขต เพราะฉะนั้นมันง่ายมาก (ง่ายเสียยิ่งกว่าการกระพริบตาเสียอีก) ที่จักรวาลจะส่งมอบเงิน ความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ซึ่งมีอยู่แล้วตลอดเวลาเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เพียงแต่ขอให้เราพร้อมที่จะเปิดรับเท่านั้น

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเปิดรับและสัมผัสกับความมั่งคั่งและอิ่มเอมใจในชีวิตเสียที?

Thursday, May 14, 2009

MV: Say Yes

จำได้ว่าเคยดูซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่องนี้สมัยประถม ประทับใจสุดๆ ติดตามดูเกือบทุำกตอน ดูไปน้ำตาไหลไปเพราะสงสารคุณลุงที่เล่นเป็นพระเอก จำได้ว่าตอนแรกที่เห็นหน้าคุณลุง แล้วรู้ว่า ตาคนนี้เล่นเป็นพระเอกของเรื่อง เรากะพี่ชายก็ร้องยี้ เพราะลุงไม่หล่อเอาเสียเลย แถมเชยอีกตะหาก ส่วนนางเอกเนี่ยสวยยังกะนางฟ้า แต่พอดูๆไป โหย คุณลุงโครตเจ๋งเลย เป็นคนจิตใจดี มีความจริงใจ มีความมุ่งมั่น จนสุดท้ายก็ชอบคุณลุงมากๆ เอาใจช่วยลุ้นคุณลุงทู้กตอน

เย้ วันนี้เปิดเจอ MV เพลงนี้ในบลอกของเพื่อนใน multiply ทำให้นึกถึงความหลัง ขอเอามาแปะไว้ในบลอกนี้ต่ออีกที (แต่ว่าใน MV ไม่มีตัวละครในเรื่องให้ดูหรอกนะ)

Tuesday, May 12, 2009

ใจพร่อง


๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ใจที่พร่องกับการงานแห่งชีวิต

จากปรากฎการณ์ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง (จากเรื่องความโกรธ) เราพบว่าแท้จริงแล้ว เราเป็นคนที่ใจยังพร่องอยู่มาก สภาวะจิตไม่สมดุล ข้างในยังกลวงโบ๋ ยังมีความอยากและดิ้นรนอย่างไม่รู้จบ สรุปก็คือ ยังหาสันติภายในให้แก่ตัวเองยังไม่ได้เลย มันจึงเกิดคำถามกับตัวเองว่า แล้วไอ้คนที่ใจพร่อง ใจยังแห้งแล้ง เติมไม่เต็ม ไม่ปกติอย่างเราเนี่ย มันจะไปสร้างสันติให้แก่โลกได้ยังไงว้า ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังสร้างสันติภายในให้กับตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะไปสร้างสันติภาพให้กับสังคม ให้กับโลก พูดไปก็อายปาก ชักจะเกิดความละอายไม่กล้าบอกใครเสียแล้ว ว่าทำงานด้านสันติวิธี เพราะกฎธรรมชาติมีอยู่ว่า “เราจะให้สิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสิ่งนั้น”


ตอนนี้ก็เลยกำลังพยายามจะมองให้ชัดๆ ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรแล้วเราจะไปสู่จุดนั้นได้ไง เป้าหมายชีวิตข้อหนึ่งที่มีมานานแล้วก็คือ เราอยากจะรักเพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างไม่มีประมาณ เป็นความรักแบบเดียวที่จักรวาลรักมนุษย์ทุกคน รักเขาอย่างที่เขาเป็น และมองเห็นภาวะแห่งจิตประภัสสรในตัวเขาได้ตลอดเวลา (แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม) สามารถมองเห็นพระผู้เป็นเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่ดำรงอยู่ภายในจิตใจของเขาได้อย่างแท้จริง เราคิดว่าหากเราสามารถรักมนุษย์ทุกคนได้อย่างนี้ เราคงจะมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว เราคงจะสามารถอุทิศตัวเพื่อทำงานรับใช้ผู้คนได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อย่างเบิกบาน เพราะว่ามันเป็นการทำงานด้วยความรัก เป็นทำงานเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า รับใช้ธรรมะ หรือรับใช้จักรวาลนั่นเอง


เป้าหมายอีกข้อก็คือ เราอยากจะช่วยให้ผู้คนได้ค้นพบความสุขที่แท้ภายในตัวเขา ทำให้เขาได้ตื่นขึ้นมาเพื่อค้นพบน้ำพุแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเขาได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงหรือพึ่งพาสิ่งอื่นใดนอกกาย อยากจะให้ทุกคนได้กลับบ้านที่แท้จริง ค้นพบบ้านที่แท้จริงภายในตัวเอง กลับคืนสู่สภาวะของความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ชาติจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้)

แต่ในภาวะที่จิตใจของเรายังพร่องอยู่อย่างนี้ อย่าว่าแต่จะช่วยคนอื่นเลย ช่วยตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง แล้วจะทำยังไงดีละทีนี้


เท่าที่นึกได้ตอนนี้เราคิดว่า เราคงต้องการพื้นที่และเวลาที่จะสร้างสมดุลให้กับใจ เพราะว่าจิตใจเรามันอ่อนแอไม่มีกำลัง ไม่เข้มแข็งเอาเลย การทำงานประจำทุกวันแบบเต็มเวลาอย่างที่เป็นอยู่นี้ ทำให้เรารู้สึกเครียดและไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้
สำหรับเราเพียงแค่การต้องไปตอกบัตรเข้า-ออกงาน ตรงตามเวลาเช้า-เย็น มันก็สร้างความตึงเครียดให้ชีวิตมากพอแล้ว แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำเอาเส้นประสาทตึงเขม็งแล้ว (อาจจะฟังดูบ้ามาก หรือเพี้ยนมากสำหรับคนอื่น แต่ว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ) เพราะสำหรับเรา การตอกบัตรลงเวลาเข้า-ออกงาน มันเป็นสัญลักษณ์ของการคุมขัง การกดขี่(ทั้งในเชิงโครงสร้าง + วัฒนธรรม) การไม่ไว้วางใจในความเป็นมนุษย์ ในศักยภาพและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของมนุษย์ มันเป็นการพยายามควบคุมและการจำกัดเสรีภาพของมนุษย์อย่างเลวร้ายที่สุด (และแน่นอนมันไม่ผิดกฎหมายอีกตะหาก) เสรีภาพ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ มันคือคุณภาพที่จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนต้องการ


เราต้องการงานให้สามารถให้เวลาที่อิสระกับตนเอง เวลาที่ยืดหยุ่น มีเวลาว่างมากพอที่จะใช้เยียวยาตัวเองได้ พัฒนาตัวเองให้เติบโต เข้มแข็งและสมดุลกว่านี้ได้ เป็นงานที่สร้างประโยชน์ให้กับโลกให้กับเพื่อนมนุษย์ งานที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมๆกันอย่างสมดุล ไม่ใช่วันๆก็หัวหมุน หัวปั่น จมอยู่กับงานอะไรบางอย่างที่ทำไปเพียงเพื่อเอาชีวิตรอด จนไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมาหายใจ ไม่มีมาดูแลรักษาชีวิตภายใน จนทำให้ขาดชีวิตสมดุลแล้วก็ผุพัง และแก่ตายไปอย่างผุพังในที่สุด ทิ้งไว้แต่ผลงานที่ผุๆพังๆ ขาดๆเกินๆ ตามสภาวะจิตใจของคนทำงานที่ผุพังและขาดๆเกินๆ เราไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ต้องการสร้างผลงานแบบนั้น จักรวาลสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น จักรวาลควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดตอบแทนกลับคืนไป เพราะโอกาสและชีวิตที่เราได้รับมอบมาจากจักรวาลมันเป็นของขวัญล้ำค่าเกินกว่าจะแลก/ตอบแทนด้วยผลงานเห่ยๆหรือการใช้ชีวิตแบบเห่ยๆอย่างที่เราเป็นอยู่

ขอให้เราได้มีหัวใจที่เต็ม (จนล้นออกไปให้คนอื่นได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น) และได้เติบโตทางจิตวิญญาณอย่างสมดุล

ความโกรธ


๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒


ช่วงนี้พบว่าตัวเองจิตตกบ่อย (ตกมา ๒-๓ วันแล้ว) มีอาการขึ้นๆลงๆ เอาแน่ไม่ได้ แต่ออกจะไปทางขาลงมากกว่าขาขึ้น มันจะมีอาการโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด เบื่อ ซึมเศร้า เซ็ง น้อยอกน้อยใจ อึดอัดคับข้องใจอยู่เป็นพื้น สภาวะจิตขุ่นมัวมาก ถ้าพูดตามคำที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนก็ต้อง เรียกว่า ภาวะจิตเป็นอกุศล ถ้าเกิดปุบปับตายไปในตอนนี้ก็คงจะตกไปอบายภูมิเป็นแน่แท้ (เฮ้อ...โชคดีที่ยังไม่ตายเนอะ) วันนี้เลยตัดสินใจไม่ไปร่วมงานประชุมพูดคุยอะไรใดๆ กับใครทั้งสิ้น ขออยู่ทำใจดูแลตัวเองที่บ้านเงียบๆก่อนจะดีกว่า เพราะถ้าขืนไปร่วมงานอะไรกับใครเข้าในตอนนี้ก็มีหวังไปนั่งหน้าบูด หรือไม่ก็ใส่หน้ากากฉีกยิ้ม แต่ข้างในขุ่นมัว ปล่อยพลังลบๆ ส่งกระแสความสั่นสะเทือนแย่ๆ ออกไปรบกวนคนอื่นเขาเปล่าๆ ทำให้คนอื่นอาจจะพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย (ทำให้ชาวบ้านเขาเดือนร้อนโดยไม่เจตนา)

ช่วง ๓ วันนี้เลยเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังเพื่อเยียวยาตัวเอง ฟังๆไปอาการก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ จิตเริ่มมีกำลังที่จะย้อนกลับเข้ามาดูตัวเอง สังเกตตัวเองอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น จากเดิมที่ดิ้นรนทุรนทุราย ทุกข์ทรมานแบบสุดๆ ก็เริ่มดิ้นรนน้อยลง ทุกข์ทรมานน้อยลง

เราสังเกตเห็นว่า ตัวเราเองนี้เวลาโกรธจะเริ่มจากการคิดถึงคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆรอบตัวในด้านลบก่อนว่า ทำไมมันถึงต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ได้ดั่งใจฉันเลย หรือไม่ก็คิดว่า ที่ฉันต้องเป็นทุกข์แบบนี้ ก็เป็นเพราะคนนั้นเขาคิดไม่ดีกับฉันอย่างนู้นอย่างนี้ เขามองไม่เห็นคุณค่าของฉัน ไม่เห็นความดีของฉัน ฉันมันไม่มีคุณค่า ไม่มีความดีในสายตาของเขา ฯลฯ จะมีอาการรับไม่ได้เสมอเวลาที่คิดว่า มีคนอื่นคิดถึงตัวเราในด้านลบ จะรู้สึกเจ็บปวดทุรนทุราย ทั้งนี้เป็นเพราะรักตัวเองแบบผิดๆ อีโก้มันใหญ่โตมาก ใครแตะไม่ได้ พร้อมจะอาละวาดฟาดหางได้ทุกเมื่อ (น่ากลัวจริงๆ แล้วใครมันจะกล้าแตะฟะเนี่ย)

พอเราเริ่มคิดถึงอะไรก็ตามในด้านลบ ความโกรธก็เริ่มจะก่อตัว มารู้ตัวอีกทีก็อีตอนที่โกรธไปแล้วเต็มที่ อาการต่างๆ ก็เริ่มประดังประเดเข้ามาเป็นชุดๆ กล่าวคือ พอรู้ตัวว่าโกรธ ก็จะไม่พอใจตัวเองซ้ำอีกที่โกรธ เพราะคิดว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี คนดีๆเขาไม่โกรธกัน(ก็เกิดอยากจะเป็นคนดีๆกับเขาขึ้นมาอีก) อยากจะหายโกรธ ยิ่งอยากหายจิตใจก็ยิ่งดิ้นทุรนทุรายเพื่อหาทางทำให้หายโกรธ พยายามคิดโน่นคิดนี่เพื่อจะหาทางดับความโกรธ แต่ว่าแทนที่จะคิดด้านบวก ไอ้เจ้าความคิดด้านลบเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ หรือคนนั้นมันก็ดันโผล่ออกมาเสียเป็นส่วนใหญ่(โดยอัตโนมัติ) ยิ่งคิดมันก็เลยยิ่งโกรธ ยิ่งโกรธก็ยิ่งอยากหาย ยิ่งอยากหายก็ยิ่งดิ้นรนจะทำให้หาย ยิ่งดิ้นรนจะทำให้หายก็ยิ่งทุกข์ เกิดเป็นวงจรอุบาทว์อันไม่รู้จบภายในจิตใจ (ถ้าจะว่ากันอีกสำนวนก็คงต้องบอกว่า วงล้อปฏิจจสมปบาทหมุนจี๋ ดูกันไม่ทันเลยทีเดียว) โหย...พอถึงจุดหนึ่งมันทุกข์สุดๆ จนต้องร้องไห้ออกมาเลย คือมันต้องหาทางระบายออกไง (การร้องไห้เป็นการช่วยระบายได้ทางหนึ่งในภาวะที่ไม่รู้จะทำไงดีแล้ว) โครตทุกข์ทรมานเลย

พอได้ร้องไห้แล้วมันก็ชักจะเริ่มได้สติ ก็เลยไปเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟัง แค่ได้ยินเสียงหลวงพ่อก็รู้สึกว่าใจมันเริ่มนิ่ง ย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น ก็เห็นวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง อ้อ! ที่ฉันทุกข์จะเป็นจะตายเมื่อตะกี้น่ะ มันเป็นเพราะจิตมันเผลอไปคิด แล้วก็เผลอโกรธ เท่านั้นยังไม่พอจิตมันยังเผลอไม่ชอบความโกรธ พยายามดิ้นรนจะผลักความโกรธออกไป (อีตรงนี้แหละที่ทุกข์หนัก) จิตไม่เป็นกลางต่อความโกรธนั่นเอง พอจิตเริ่มมีสติเริ่มดูมันเฉยๆแบบเป็นกลาง อยู่ดีๆ สักประเดี๋ยวความโกรธมันก็หายไปเอง แต่ถ้าเราไปเผลอคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธใหม่ เดี๋ยวมันก็กลับมาอีก เออแน่ะ ชักจะเริ่มเข้าใจ(จากประสบการณ์ตรง)ว่าจิตใจมันทำงานแบบนี้เอง แหม แต่กว่าจะเข้าใจก็เล่นเอาทุกข์แทบตายกันเลยทีเดียว

ตอนนี้เราเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมหลายๆครั้งที่รู้ตัวว่าโกรธแล้ว ความโกรธมันยังไม่หายไป ยังคงโกรธอยู่หรือไม่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้รับรู้มันอย่างเป็นกลาง เราใส่คำตัดสินให้โทษ-ให้คุณ ชอบ-ไม่ชอบลงไปในการรับรู้นั้นด้วย เพราะฉะนั้นรู้อย่างเดียวก็ยังไม่พอ แต่ต้องมีสติพอ(จิตใจตั้งมั่นและมีกำลังพอ) ที่จะรับรู้และเฝ้ามองดูมันอย่างเป็นกลางด้วย

หลวงพ่อปราโมทย์สอนว่า ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสภาวะธรรมที่มาสอนเราได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ โกรธ อิจฉา ดีใจ เสียใจ เพียงแต่เรามักจะหลงไปไม่รับรู้ว่านี่คือสภาวะธรรม เราจึงไม่ยินยอมเปิดรับให้ธรรมะเข้ามาทำงานกับตัวเรา ทั้งยังหาทางปฏิเสธ ผลักไสและบ่ายเบี่ยง หรือไม่ก็พยายามควบคุมดัดแปลงมันให้ได้ดั่งใจ (พวกติดดีก็อาจจะวางมาดเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดี พยายามแก้ไข ควบคุมสภาวะที่เกิดขึ้น) ส่วนคนทั่วไปก็อาจคิดไปว่าชาตินี้คงไม่มีทางเข้าถึงธรรมเพราะเข้าใจไปว่าสภาวะธรรมคือ สภาวะที่ใจสะอาด สว่าง สงบ เท่านั้น ซึ่งยากที่จะเข้าถึงสำหรับคนธรรมดาๆ

เมื่อได้มาฟังคำสอนของหลวงพ่อทำให้เราได้เข้าใจว่า อ้อ แท้จริงแล้วสภาวะธรรมนี้มันเป็นเรื่องโครตใกล้ตัวเลย มันเกิดขึ้นอยู่กับกายกับใจของเราทุกๆวันเลยทีเดียว เพราะธรรมะคือ ธรรมชาติ และในความเป็นธรรมชาตินั้นก็คือความเป็นธรรมดานั่นเอง หลวงพ่อบอกว่า กายนี้ใจนี้ของมนุษย์ธรรมดาๆแหละที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาธรรมะ เพราะกายกับใจก็เป็นธรรมชาติ เป็นของธรรมดา เป็นรูปธรรม นามธรรม ที่เกิด-ดับ อยู่กับเราตลอดเวลา ถ้าจะเอากันเข้าจริงๆ เราทุกคนล้วนมีโอกาสฝึกฝนปฏิบัติธรรมกันได้ทุกวัน ทุกๆนาที และการปฏิบัติที่ว่าไม่ใช่การพยายามที่จะเข้าไปควบคุม หรือดิ้นรนดัดแปลงกายกับใจ (ก็อย่างที่บอก ยิ่งดิ้นรนจะทำ มันก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเครียด ยิ่งพยายามทำยิ่งพยายามดัดแปลงมันก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นธรรมดาและความเป็นธรรมชาติ--ตูทำมาแล้วทั้งน้าน) แต่การปฏิบัติธรรมคือ การเฝ้าสังเกตดู ทำความรู้จักกับกายกับใจอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ ตามธรรมดานั่นเอง

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ ชักจะเริ่มรู้สึกขอบคุณความโกรธที่เกิดขึ้นกับตัวเองเสียแล้ว ขอบคุณที่มาสอนให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังต้องสารภาพตามตรงว่า ลึกๆแล้วเราก็ยังไม่ชอบความโกรธอยู่ดี คือมันยังรู้สึกแหยงๆ กับความโกรธน่ะ เพราะว่าเวลาโกรธแล้วมันทุกข์ แล้วไอ้ตัวเราก็ไม่อยากทุกข์ อยากจะสุขอย่างเดียวไง (แต่ที่ตลกคือ เราพบว่า ยิ่งอยากสุขมากเท่าไร มันก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น) ใจมันยังไม่เป็นกลางอย่างแท้จริงนั่นเอง ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร รู้ว่าตัวเองไม่เป็นกลางก็ดีแล้ว ก็ตามรู้ตามดูกันต่อไปตามสภาวะที่ปรากฎ รู้ทันเมื่อไรใจก็คงจะเป็นกลางขึ้นมาได้เองเข้าสักวันกระมัง

Thursday, May 7, 2009

คนกลางข้างถนน

โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

แนวร่วมอาสาสมัคร หวังสังคมที่มีความคิดเห็นแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ผ่านกลไกฝึกอบรมกลุ่มย่อย

แม้ความวุ่นวายจะจางลงไปมากแล้ว แต่ลึกๆ แล้วหลายคนบอกว่า "เกมยังไม่จบ"

ด้วย 'สี' สัญลักษณ์แห่งความเป็นพวกพ้องยังคงอยู่ และไม่จำเป็นต้องแสดงตัวผ่านเสื้อ หรือ ผ้าโพกหัว อีกต่อไป

นั่นหมายความว่า ความขัดแย้ง ระหว่างสียังมีเหมือนเดิม แต่พัฒนาไปในรูปแบบที่เดาทางยากมากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึง ความสามารถในการจัดการน้อยลง?

อย่างที่รู้ สังคมเรียกร้อง 'คนกลาง' มาตลอด โดยเฉพาะคนกลางผู้มีบารมี คนกลางที่ทั้งสองฝ่ายเพราะจะเคารพและเชื่อฟัง...

"เหมือนเรากำลังนั่งรอคนกลางให้หล่นลงมาจากฟ้าหรือเปล่า" หลิน ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ ผู้อบรบนักสื่อสารอย่างสันติ ตั้งคำถามต่อสังคม

การเมือง ‘เป็นเรื่อง’ ในบ้าน

ในบ้านหลังเล็กๆ สามี-ภรรยา คู่หนึ่งอยู่กันมาอย่างสงบสุขมานานหลายปี เขาและเธอไม่มีลูก พอใจที่จะใช้ชีวิตกันสองคนมากกว่า

จนสงกรานต์ที่ผ่านมา เขาและเธอไม่ออกไปไหน นั่งดูข่าวโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ความวุ่นวาย ชนิดนาทีต่อนาที...โดยไม่พูดจากันสักคำ

เขา...ผู้สงสัยในการขึ้นมาของ 'รัฐบาล' ชุดนี้ ว่ามีคนในเครื่องแบบเป็นแบคอยู่เบื้องหลัง คำถามและความไม่ยุติธรรมจึงเกิดขึ้น

เธอ...ผู้อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข เห็นใจและเห็นด้วยกับรัฐบาลในการคลี่คลายปัญหาอย่างละมุนละม่อม พร้อมกับเปิดโอกาสให้รัฐบาลพิสูจน์ผลงานของตัวเองต่อไป

จุดยืนของทั้งคู่ ไม่ได้เป็นความลับ และถูกแสดงออกผ่านวงสนทนาอันประกอบไปด้วยเพื่อนฝูงที่รักใคร่สนิทสนมมาเป็นเวลาหลายปี

มื้อเย็นนอกบ้านวันนั้น มีขึ้นหลังรัฐบาลตัดสินใจจัดการความวุ่นวายด้วยวิธีการที่ฝ่ายค้านตั้งคำถาม

"ไม่มีใครสงสัยเลยหรือว่า ทำไมถึงมีแต่ข่าวเสื้อแดงป่วนเมือง" ฝ่ายชาย ผู้ออกตัวก่อนว่าไม่ได้รักชอบ 'ทักกี้' …เป็นฝ่ายชวนคุย

แม้โดยทั่วไป การเมืองจะเป็นหัวข้อยกเว้นในการสนทนา แต่จังหวะเวลาแบบนั้น การถกเถียงเรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่สมาชิกร่วมโต๊ะเข้าใจได้ และหลายคนก็เตรียมจะมาคุยเรื่องนี้อยู่แล้ว

ความเห็นหลากสี หลายฝ่าย ประเดประดังเข้ามาเต็มโต๊ะ แดงบ้าง เหลืองบ้าง น้ำเงินหน่อยๆ ก็ยังมี ไม่มีสีก็มาด้วย

แต่ความเห็นใดๆ ก็ไม่สมารถจุดชนวนให้ 'แดงหนุ่ม' คนนั้น เดือดได้เท่ากับประโยคสั้นๆ จากคนข้างตัว

"ก็ทำไมไม่ให้โอกาสเขาหน่อยล่ะ เท่าที่ดูเขาก็ออกมาจัดการปัญหาได้ดี ไม่รุนแรง รอดูผลงานเขาต่อไปอีกสักหน่อยดีกว่า"

"รัฐบาลทหารน่ะเหรอ มันไม่ยุติธรรม นี่น่ะเหรอประชาธิปไตย" แดงหนุ่มชักแรงขึ้นเรื่อยๆ

การโต้เถียงระหว่างคนร่วมชายคา ร้อนขึ้นเป็นระยะ เพื่อนร่วมโต๊ะทั้งหลายที่เคยฝักใฝ่ในหลายสี ก็สลายขั้วเฉพาะกิจ เปลี่ยนบทเป็น 'คนกลาง' ช่วยไกล่เกลี่ย ไม่ให้สามีภรรยาบาดหมางกันไปมากกว่านี้

"เคารพความเห็นนะ แต่ก็น่าจะฟังเราบ้าง ไม่เข้าใจเลย แต่ก่อนเธอ (ภรรยา) เคยมีจุดยืนที่เป็นกลางกว่านี้" ลึกๆ แล้ว สามีอยากให้ภรรยาเห็นด้วยกับเขา

ด้วยอารมณ์หลายอย่างผสมกัน ฝ่ายภรรยาหลบไปเข้าห้องน้ำ กดโทรศัพท์หาญาติ ระบายความรู้สึก

"ไม่ไหว อึดอัดมาก อยู่บ้านพูดกันไม่ได้เลย"

เหตุการณ์เช่นนี้ พลอยทำให้ คนกลาง (อย่างไม่ได้ตั้งใจ) รู้สึกอึดอัดไปด้วย เพราะเล่นบทผู้ไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ

และปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้ไกล่เกลี่ยเองก็อาจจะไม่ได้กลางอย่างบริสุทธิ์ ในใจเองก็เอียงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง จนสับสนว่า ตัวเองจะยึดหลักใดในการไกล่เกลี่ย กระทั่ง ไม่แน่ใจว่าระหว่างไกล่เกลี่ย ความรู้สึกส่วนตัวจะยิ่งทำให้ความขัดแย้ง รุนแรงขึ้นหรือไม่

คนกลาง เลือกข้างก็ได้

"คนกลาง ไม่จำเป็นต้องเป็นกลางนะ" ไพรินทร์ กำลังจะบอกอีกว่า ทุกคนเป็นคนกลางได้ ถ้าอยากและมีความตั้งใจดีที่จะเป็น

สงกรานต์ร้อนระอุที่ผ่านมา คลิปไล่รถแท็กซี่ของชาวสาธรที่ถูกส่งต่อกันให้วุ่น เป็นการแสดงพลังอย่างหนึ่งของพวกไม่เลือกข้าง หลังจากโดนรุกก่อนด้วยการปิดถนน

คำถามก็คือ ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานะผู้ถูกกระทำอย่างจังแบบนี้ จะมีใครออกมาเคลื่อนไหวบ้างไหม

หรือใครก็ตามที่นั่งเฝ้าข่าวหน้าจอแทบจะ 24 ชั่วโมงในช่วงนั้น เคยอึดอัด (มากๆ) จนต้องถามตัวเองหรือไม่ว่า “แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง” ที่มากกว่าการเป็นผู้ชมที่ดี

“นั่นเป็นความตั้งใจที่ดีและมีค่ามากนะคะ” กัญญา ลิขนสุทธิ์ นักฝึกอบรบการสื่อสารอย่างสันติ และนักจิตบำบัดจากสหรัฐอเมริกา วิทยากรหลักสูตร ‘การเป็นคนกลางตามแนวทางการสื่อสารอย่างสันติ’ ของเสมสิกขาลัยร่วมกับไพรินทร์ ชี้ช่องที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของคนกลางได้

แต่แค่ความตั้งใจดียังไม่พอ การเป็นกาวใจเชื่อมความขัดแย้งได้ ต้องมีผ่านคอร์สบ่มทักษะกันหลายขั้น

เริ่มที่ ฟังและแปลความ โดยส่วนใหญ่ คู่ขัดแย้งมักไม่สามารถรับฟังกันได้ หรือเลือกฟังเฉพาะสิ่งที่ตัวอยากฟัง จึงจำเป็นต้องพึ่งการรับฟังทั้งสองฝ่ายของคนกลาง จากนั้นต้องใช้ทักษะการแปลคำพูดที่อาจมีการตัดสิน ต่อว่า วิจารณ์ ให้เป็น ความรู้สึกและความต้องการเบื้องลึก เพื่อให้คู่กรณีเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน และเข้าใจกันได้

“ต่อมาคือ ช่วยให้แต่ละฝ่ายสะท้อนสิ่งที่ตนได้ยิน ขอให้อีกฝ่ายพูดสิ่งที่ตนได้ยินออกมา ยกตัวอย่าง ก.กับ ข.ทะเลาะกัน เราไปฟังทั้งคู่มาแล้ว แล้วจับ ก.กับ ข.มานั่งด้วยกัน ให้สะท้อนความรู้สึกและความต้องการของตัวเองออกมา แล้วให้แต่ละฝ่าย ช่วยทวนซ้ำว่าฝั่งตรงข้ามพูดอะไรบ้าง”

กัญญา อธิบายต่อว่า 2 ขั้นตอนดังกล่าว จะถูกใช้ไปเรื่อยๆ จนทั้ง ก.และ ข. เข้าใจกัน

ระหว่างที่คนกลางกำลังพูดกับ ก.หรือ ข.อยู่ จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดแทรกหรือพูดอะไรที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง อาจต้องใช้การ ขัดจังหวะ ด้วยการขอร้องให้อีกฝ่ายหยุดและฟังก่อน

จากนั้นเป็นขั้นตอนการ ปฐมพยาบาลด้วยการให้ความเข้าใจ จะใช้ก็ต่อเมื่อ ขัดจังหวะไปแล้ว ฝ่ายนั้นยังไม่ยอมหยุด

เช่น...

ข. : ก.เองก็น่าจะสำนึกว่าทำอะไรลงไป ทำอย่างนี้เท่ากับก่อจลาจล คนเดือดร้อนไปทั่ว

คนกลาง : คุณต้องการ...

ก. (พูดแทรก) : เราทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง

คนกลาง (หันไปทาง ก. ให้การปฐมพยาบาล) : คุณอยากได้รับความเข้าใจในการกระทำของคุณใช่ไหม

ก. : ใช่

คนกลาง : เดี๋ยวเราจะกลับมารับฟังเรื่องคุณแน่นอน ตอนนี้ขอให้เรากลับไปฟัง ข.ก่อนได้ไหม

หากหัวใจสำคัญอยู่ที่การ ให้ความเข้าใจตัวเอง แม้คนกลางจะจะเตรียมตัวมาแล้วอย่างดี แต่ก็ยากที่จะวางตัวเป็นกลางได้จริงๆ แอบตัดสินคู่กรณีในใจหรือมีอคติมาก่อน เรื่องนี้ ไพรินทร์ ประสบกับตัวเองมาก่อน เมื่อคราวลงพื้นที่ไปรับฟังกลุ่ม นปช.

“เราเหลืองทั้งบ้าน ยอมรับว่าก่อนไป มีอคติกับเสื้อแดงมากๆ ไม่ชอบเลย ตั้งคำถามเชิงลบกับสิ่งที่เขาทำตลอด”

แต่พอลงพื้นที่จริงๆ จากที่เคยโกรธ เกลียด ก็กลับต้องเสียน้ำตาให้

“เขาบอกว่าที่ต้องมาต่อต้านอย่างนี้ เพราะสมัยพฤษภาทมิฬ เคยออกมาชุมนุมแล้วถูกทหารเหยียบ จึงเกลียดการปฏิวัติมากๆ พูดไปก็ร้องไห้ไป เราถึงเข้าใจและสงสาร”

หาก ‘อคติ’ และ การเลือกข้าง กลับโผล่มาตอนบทคนกลางกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม คนเริ่มเอียงก็อาจจะขอเวลานอกหลบไปทบทวนตัวเอง 2 นาที เพื่อทำความเข้าใจตนเองและดึงตัวเองกลับมา

ขั้นตอนนี้ทำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า บ่อยเท่าที่เราออกอาการเขว

สุดท้าย ติดตามความต้องการ คนกลางจะคอยติดตามดูว่าเราอยู่ที่ไหนแล้วในกระบวนการและความต้องการใดยังไม่ ได้รับหรือได้รับการสะท้อนแล้วบ้าง

........................................................................

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีสี ไม่อยากจะมีสี หรือมีสีอยู่ในใจแต่เลือกที่จะไม่แสดงออก

บางคนก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก บ้านหลังเล็กๆ ที่เคยสุขสงบ ก็เกิดแบ่งพรรคแบ่งพวก จนพูดจากันไม่ได้ กลุ่มเพื่อนฝูงที่เคยนัดกันทุกเย็นวันศุกร์ งดรวมพลกันไปโดยปริยาย กระทั่งความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างผู้โดยสารกับคนขับแท็กซี่เพื่อหลีก เลี่ยงความขัดแย้ง ฯลฯ

คนหลากกลุ่มนี้ อาจจะมี ‘ความอึดอัด’ ที่เหมือนๆ กัน แต่ไม่รู้จะแปรรูปออกมาเป็นอะไร

“เราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ แต่ทำให้ความต่างอยู่ด้วยกันได้อย่างเข้าใจและเคารพ” คำหลัง กัญญา เน้นย้ำว่าสำคัญมากสำหรับสังคมหลากขั้วในปัจจุบัน

เคารพในที่นี้ คือ เคารพในความเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน ที่ไม่ว่าใครก็ต้องการความสุข สงบ และปลอดภัย

ทั้งกัญญาและไพรินทร์ ก็คือ คนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มียศฐา หรือบารมีใดๆ แต่เธอทั้งคู่อาสาที่จะเป็นคนกลาง และกำลังคิดหา ‘แนวร่วม’ ผ่านการจัดอบรมกลุ่มเล็กๆ

แนวร่วม...ผู้อึดอัดและอยากจะเห็นบ้านเมืองมีความสุขมากกว่านี้

* กลางอเนกประสงค์

การเป็นคนกลาง ไม่ได้มีไว้ใช้แค่การเมืองเรื่องใหญ่โต แต่เรื่องทะเลาะจุกจิกระดับในบ้าน โรงเรียน หรือองค์กร ก็เวิร์คเหมือนกัน

น้ำ ครูใหญ่ ศูนย์การเรียนรู้บ้านเด็กป่า จ.กาญจนบุรี ผู้ผ่านการอบรมสานสัมพันธ์ด้วยขันติ ขั้น 1 มาแล้วกับเสมสิกขาลัย ก็เอาวิชานี้ไปใช้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงานและ เด็กๆ (ไร้สัญชาติ)

“สำหรับตัวเอง ได้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผลของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เวลามีเรื่อง เราก็จะโต้ตอบกลับไปอัตโนมัติแบบเจ็บๆ หรือไม่ก็ปั้นปึ่ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำไม่ได้ คิดว่าเราเป็นเจ้านาย เขาคือลูกน้อง”

หลังกลับจากอบรม น้ำฝึกดูตัวเองมากขึ้นว่า รู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร และสิ่งใดที่กังวลอยู่ จนได้คำตอบว่า กลัวโรงเรียนจะเสียทิศทาง ซึ่งลึกๆ แล้วก็คือความเป็นห่วง

น้ำจึงเปลี่ยนวิธีใหม่ โดยการสื่อสารและแจ้งความต้องการของตัวเองไปตามตรง และปรากฏว่า ลูกน้องเองก็ต้องการไม่ต่างกัน เรื่องมันก็เลยง่ายขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น

กับเด็กเอง น้ำก็เคยลองวิชาอยู่หลายครั้ง

ลูกศิษย์คนหนึ่ง รายนี้ขาป่วน ขี้โมโห ชอบหาเรื่องเพื่อนตลอดเวลา

“คุยกับเขาว่า โกรธเหรอ เสียใจ อึดอัดใช่ไหม มือเขาที่กำแน่นก็คลายลง น้ำตาไหล คุยกันจนรู้ว่า เขาโตมากับครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง”

อีกกรณี พี่น้อง 2 คนทะเลาะกันแรง คนน้องกลัวว่าพี่จะฆ่า

“พอไปสะท้อนให้คนพี่ฟัง เขาก็ตกใจ เขาไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่ที่โกรธเพราะน้องมายั่วโมโหก่อน พอเราสะท้อนให้รู้ ทั้งคู่เสียใจ โดยไม่ต้องมาบังคับว่า ขอโทษกันนะ ดีกันนะ มันฝืนใจกัน”

น้ำบอกว่า เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องหาทางออก แค่สื่อสารความต้องการลึกๆ อย่างเข้าใจ เรื่องก็พร้อมจะคลี่คลายไปเอง ไม่ต้องบังคับให้จับมือกัน กอดกัน เพราะอาจเป็นแค่ฉากบังหน้า

ส่วนการเมือง เธอออกตัวว่า ไม่ค่อยได้ติดตามข่าว จึงไม่ค่อยมีความเห็น นอกจาก...

“เบื่อๆ เหนื่อยๆ ตามประสาคนทั่วไป”

เพื่อนร่วมคอร์สอีกคน ทพ.เจิมพล ภูมิตระกูล กรรมการบริหารโรงพยาบาลรามคำแหง ที่ตั้งใจจะเอาวิชามาใช้ในงานบริหารบุคคล หวังผลมากกว่านั้นคือ ต้องการขจัดความใจร้อนของตัวเอง

“เราใช้อำนาจแบบ Power over ไปบังคับลูกน้อง บางครั้งลูกน้องไม่ทำตาม เราจะเข้าใจว่าเขาดื้อ กระด้างกระเดื่อง ด่วนตัดสินเขา” แต่พอได้เอาสิ่งที่เรียนกลับไปใช้ สื่อสารความต้องการของตัวเองอย่างจริงใจมากขึ้น

ผลปรากฏว่า เหตุผลที่ลูกน้องไม่รับงานหรือไม่ทำตามคำสั่งนั้น มาจากความกังวลและกลัวว่าจะทำไม่ได้หรือทำผิด

“เราให้ความเชื่อใจ ไว้ใจ ให้เขาลองทำ แล้วเราคอยบอก สอนเขาเป็นระยะๆ เขาจะมั่นใจ” ปัญหาหมดไปได้ เพราะทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างก็ต้องการให้งานออกมาดี

ช่วงประชุมร่วมรัฐสภาที่ผ่านมา ทพ.เจิมพล เองก็เฝ้าดูอยู่ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ถ้าเราเป็นคนกลางหรือประธานสภา จะทำอย่างไร

“แต่ละฝ่าย พูดถึงแต่วิธีการ ความไม่ดีของอีกฝ่าย เหน็บแนม โจมตี ถ้าผมเป็นประธานสภา จะพยายามพูดให้รู้ว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร สะท้อนให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ ซึ่งลึกๆ แล้ว เขาต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือ อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างสงบและแข็งแรง” ส่วนผลประโยชน์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

ปล. พี่เล็ก(งามศุกร์)ส่งบทความนี้มาให้ อ่านแล้วอยากแบ่งปันจึงขอเอามาโพสต์ไว้

Wednesday, February 25, 2009

เพลง ความคิด

ฟังเพลงเพลง ความคิด

เนื้อเพลง ความคิด



ยังเดินผ่านทุกวัน ที่ๆเราพบกัน เมื่อก่อน
ยังจำซ้ำๆได้ทุกตอน ราวกับมีใครมาหมุน ย้อนเวลา

แต่ก็คงจะหมุนย้อนได้แค่ในความคิด ในชีวิตจริงคงไม่เจอกันอีกแล้ว
ยืนอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีวี่แวว เธอจากไปแล้ว และคงไม่ย้อนคืนมาหา

ได้แต่ฝาก ความคิด ของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอ ตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ..

อยากเจอเธอเหลือเกิน เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทาง
ฉันมีความคิดหลายๆอย่าง หลายอย่างเหลือเกินที่ฉันไม่ได้พูดไป
แต่กลับมานึกขึ้นได้ในเวลานี้ ในเวลาที่เธอเดินจากฉันไปแสนไกล
หากเธอนั้นยังอยู่ จะกอดเธอให้ชื่นใจ และคอยพูดออกไปทุกสิ่งที่อยู่ในใจฉัน

ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอ ตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็น ความคิด ที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ

Thursday, February 5, 2009

ปล่อยวาง

อันนี้เพื่อนส่งมาให้อีกทีลองอ่านกันดูนะขอรับ

---อ่านบทกลอนที่เขียนโดยคนนิรนาม และคุณจิตราภรณ์ วนัสพงศ์ นักแปลอิสระอ้างถึง เพื่อใช้เตือนสติตัวเธอ ในภาวะที่เกิดความผิดหวังด้วยสารพัดตัวแปรที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้า หรือรู้ก็ควบคุมไม่ได้ เธอจึงเห็นด้วยกับบทกลอน Letting Go Takes Love ว่า เราต้องรักตัวเองก่อน พร้อมจะให้อภัยตัวเองก่อน ถึงจะปล่อยอย่างอื่นให้ผ่านไปได้.....ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ที่ตัวเราเองก็ห่างไกลความสมบูรณ์อยู่มากนัก หวังว่ากลอนบทนี้จะช่วยเตือนสติเพื่อนๆ เช่นกันนะค่ะ----


การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าจะเลิกห่วง แต่หมายความว่าฉันทำแทนคนอื่นไม่ได้
การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าจะตัดใจจาก แต่คือการตระหนักว่าฉันไม่สามารถควบคุมชีวิตคนอื่น
การปล่อยวางไม่ใช่การสร้างอำนาจ แต่เป็นการปล่อยให้เรียนรู้จากผลที่ตามมาตามกฎธรรมชาติ
การปล่อยวางคือการยอมรับความไร้อำนาจ ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์มิได้อยู่ในอุ้งมือของฉัน
........................................................
การปล่อยวางไม่ใช่การสำนึกเสียใจในอดีต แต่คือการเติบโต และมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคต
การปล่อยวางคือ...การกลัวให้น้อยลง...และรักให้มากขึ้น

To let go does not mean to stop caring, it means I can't do it for someone else. To let go is not to cut myself off, it's the realization I can't control another. To let go is not to enable, but allow learning from natural consequences. To let go is to admit powerlessness, which means the outcome is not in my hands. ....................................................... To let go is not to regret the past, but to grow and live for the future. To let go is to fear less and love more.