Thursday, May 14, 2009

MV: Say Yes

จำได้ว่าเคยดูซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่องนี้สมัยประถม ประทับใจสุดๆ ติดตามดูเกือบทุำกตอน ดูไปน้ำตาไหลไปเพราะสงสารคุณลุงที่เล่นเป็นพระเอก จำได้ว่าตอนแรกที่เห็นหน้าคุณลุง แล้วรู้ว่า ตาคนนี้เล่นเป็นพระเอกของเรื่อง เรากะพี่ชายก็ร้องยี้ เพราะลุงไม่หล่อเอาเสียเลย แถมเชยอีกตะหาก ส่วนนางเอกเนี่ยสวยยังกะนางฟ้า แต่พอดูๆไป โหย คุณลุงโครตเจ๋งเลย เป็นคนจิตใจดี มีความจริงใจ มีความมุ่งมั่น จนสุดท้ายก็ชอบคุณลุงมากๆ เอาใจช่วยลุ้นคุณลุงทู้กตอน

เย้ วันนี้เปิดเจอ MV เพลงนี้ในบลอกของเพื่อนใน multiply ทำให้นึกถึงความหลัง ขอเอามาแปะไว้ในบลอกนี้ต่ออีกที (แต่ว่าใน MV ไม่มีตัวละครในเรื่องให้ดูหรอกนะ)

Tuesday, May 12, 2009

ใจพร่อง


๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ใจที่พร่องกับการงานแห่งชีวิต

จากปรากฎการณ์ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง (จากเรื่องความโกรธ) เราพบว่าแท้จริงแล้ว เราเป็นคนที่ใจยังพร่องอยู่มาก สภาวะจิตไม่สมดุล ข้างในยังกลวงโบ๋ ยังมีความอยากและดิ้นรนอย่างไม่รู้จบ สรุปก็คือ ยังหาสันติภายในให้แก่ตัวเองยังไม่ได้เลย มันจึงเกิดคำถามกับตัวเองว่า แล้วไอ้คนที่ใจพร่อง ใจยังแห้งแล้ง เติมไม่เต็ม ไม่ปกติอย่างเราเนี่ย มันจะไปสร้างสันติให้แก่โลกได้ยังไงว้า ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังสร้างสันติภายในให้กับตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะไปสร้างสันติภาพให้กับสังคม ให้กับโลก พูดไปก็อายปาก ชักจะเกิดความละอายไม่กล้าบอกใครเสียแล้ว ว่าทำงานด้านสันติวิธี เพราะกฎธรรมชาติมีอยู่ว่า “เราจะให้สิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสิ่งนั้น”


ตอนนี้ก็เลยกำลังพยายามจะมองให้ชัดๆ ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรแล้วเราจะไปสู่จุดนั้นได้ไง เป้าหมายชีวิตข้อหนึ่งที่มีมานานแล้วก็คือ เราอยากจะรักเพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างไม่มีประมาณ เป็นความรักแบบเดียวที่จักรวาลรักมนุษย์ทุกคน รักเขาอย่างที่เขาเป็น และมองเห็นภาวะแห่งจิตประภัสสรในตัวเขาได้ตลอดเวลา (แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม) สามารถมองเห็นพระผู้เป็นเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่ดำรงอยู่ภายในจิตใจของเขาได้อย่างแท้จริง เราคิดว่าหากเราสามารถรักมนุษย์ทุกคนได้อย่างนี้ เราคงจะมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว เราคงจะสามารถอุทิศตัวเพื่อทำงานรับใช้ผู้คนได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อย่างเบิกบาน เพราะว่ามันเป็นการทำงานด้วยความรัก เป็นทำงานเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า รับใช้ธรรมะ หรือรับใช้จักรวาลนั่นเอง


เป้าหมายอีกข้อก็คือ เราอยากจะช่วยให้ผู้คนได้ค้นพบความสุขที่แท้ภายในตัวเขา ทำให้เขาได้ตื่นขึ้นมาเพื่อค้นพบน้ำพุแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเขาได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงหรือพึ่งพาสิ่งอื่นใดนอกกาย อยากจะให้ทุกคนได้กลับบ้านที่แท้จริง ค้นพบบ้านที่แท้จริงภายในตัวเอง กลับคืนสู่สภาวะของความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ชาติจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้)

แต่ในภาวะที่จิตใจของเรายังพร่องอยู่อย่างนี้ อย่าว่าแต่จะช่วยคนอื่นเลย ช่วยตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง แล้วจะทำยังไงดีละทีนี้


เท่าที่นึกได้ตอนนี้เราคิดว่า เราคงต้องการพื้นที่และเวลาที่จะสร้างสมดุลให้กับใจ เพราะว่าจิตใจเรามันอ่อนแอไม่มีกำลัง ไม่เข้มแข็งเอาเลย การทำงานประจำทุกวันแบบเต็มเวลาอย่างที่เป็นอยู่นี้ ทำให้เรารู้สึกเครียดและไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้
สำหรับเราเพียงแค่การต้องไปตอกบัตรเข้า-ออกงาน ตรงตามเวลาเช้า-เย็น มันก็สร้างความตึงเครียดให้ชีวิตมากพอแล้ว แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำเอาเส้นประสาทตึงเขม็งแล้ว (อาจจะฟังดูบ้ามาก หรือเพี้ยนมากสำหรับคนอื่น แต่ว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ) เพราะสำหรับเรา การตอกบัตรลงเวลาเข้า-ออกงาน มันเป็นสัญลักษณ์ของการคุมขัง การกดขี่(ทั้งในเชิงโครงสร้าง + วัฒนธรรม) การไม่ไว้วางใจในความเป็นมนุษย์ ในศักยภาพและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของมนุษย์ มันเป็นการพยายามควบคุมและการจำกัดเสรีภาพของมนุษย์อย่างเลวร้ายที่สุด (และแน่นอนมันไม่ผิดกฎหมายอีกตะหาก) เสรีภาพ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ มันคือคุณภาพที่จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนต้องการ


เราต้องการงานให้สามารถให้เวลาที่อิสระกับตนเอง เวลาที่ยืดหยุ่น มีเวลาว่างมากพอที่จะใช้เยียวยาตัวเองได้ พัฒนาตัวเองให้เติบโต เข้มแข็งและสมดุลกว่านี้ได้ เป็นงานที่สร้างประโยชน์ให้กับโลกให้กับเพื่อนมนุษย์ งานที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมๆกันอย่างสมดุล ไม่ใช่วันๆก็หัวหมุน หัวปั่น จมอยู่กับงานอะไรบางอย่างที่ทำไปเพียงเพื่อเอาชีวิตรอด จนไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมาหายใจ ไม่มีมาดูแลรักษาชีวิตภายใน จนทำให้ขาดชีวิตสมดุลแล้วก็ผุพัง และแก่ตายไปอย่างผุพังในที่สุด ทิ้งไว้แต่ผลงานที่ผุๆพังๆ ขาดๆเกินๆ ตามสภาวะจิตใจของคนทำงานที่ผุพังและขาดๆเกินๆ เราไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ต้องการสร้างผลงานแบบนั้น จักรวาลสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น จักรวาลควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดตอบแทนกลับคืนไป เพราะโอกาสและชีวิตที่เราได้รับมอบมาจากจักรวาลมันเป็นของขวัญล้ำค่าเกินกว่าจะแลก/ตอบแทนด้วยผลงานเห่ยๆหรือการใช้ชีวิตแบบเห่ยๆอย่างที่เราเป็นอยู่

ขอให้เราได้มีหัวใจที่เต็ม (จนล้นออกไปให้คนอื่นได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น) และได้เติบโตทางจิตวิญญาณอย่างสมดุล

ความโกรธ


๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒


ช่วงนี้พบว่าตัวเองจิตตกบ่อย (ตกมา ๒-๓ วันแล้ว) มีอาการขึ้นๆลงๆ เอาแน่ไม่ได้ แต่ออกจะไปทางขาลงมากกว่าขาขึ้น มันจะมีอาการโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด เบื่อ ซึมเศร้า เซ็ง น้อยอกน้อยใจ อึดอัดคับข้องใจอยู่เป็นพื้น สภาวะจิตขุ่นมัวมาก ถ้าพูดตามคำที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนก็ต้อง เรียกว่า ภาวะจิตเป็นอกุศล ถ้าเกิดปุบปับตายไปในตอนนี้ก็คงจะตกไปอบายภูมิเป็นแน่แท้ (เฮ้อ...โชคดีที่ยังไม่ตายเนอะ) วันนี้เลยตัดสินใจไม่ไปร่วมงานประชุมพูดคุยอะไรใดๆ กับใครทั้งสิ้น ขออยู่ทำใจดูแลตัวเองที่บ้านเงียบๆก่อนจะดีกว่า เพราะถ้าขืนไปร่วมงานอะไรกับใครเข้าในตอนนี้ก็มีหวังไปนั่งหน้าบูด หรือไม่ก็ใส่หน้ากากฉีกยิ้ม แต่ข้างในขุ่นมัว ปล่อยพลังลบๆ ส่งกระแสความสั่นสะเทือนแย่ๆ ออกไปรบกวนคนอื่นเขาเปล่าๆ ทำให้คนอื่นอาจจะพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย (ทำให้ชาวบ้านเขาเดือนร้อนโดยไม่เจตนา)

ช่วง ๓ วันนี้เลยเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังเพื่อเยียวยาตัวเอง ฟังๆไปอาการก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ จิตเริ่มมีกำลังที่จะย้อนกลับเข้ามาดูตัวเอง สังเกตตัวเองอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น จากเดิมที่ดิ้นรนทุรนทุราย ทุกข์ทรมานแบบสุดๆ ก็เริ่มดิ้นรนน้อยลง ทุกข์ทรมานน้อยลง

เราสังเกตเห็นว่า ตัวเราเองนี้เวลาโกรธจะเริ่มจากการคิดถึงคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆรอบตัวในด้านลบก่อนว่า ทำไมมันถึงต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ได้ดั่งใจฉันเลย หรือไม่ก็คิดว่า ที่ฉันต้องเป็นทุกข์แบบนี้ ก็เป็นเพราะคนนั้นเขาคิดไม่ดีกับฉันอย่างนู้นอย่างนี้ เขามองไม่เห็นคุณค่าของฉัน ไม่เห็นความดีของฉัน ฉันมันไม่มีคุณค่า ไม่มีความดีในสายตาของเขา ฯลฯ จะมีอาการรับไม่ได้เสมอเวลาที่คิดว่า มีคนอื่นคิดถึงตัวเราในด้านลบ จะรู้สึกเจ็บปวดทุรนทุราย ทั้งนี้เป็นเพราะรักตัวเองแบบผิดๆ อีโก้มันใหญ่โตมาก ใครแตะไม่ได้ พร้อมจะอาละวาดฟาดหางได้ทุกเมื่อ (น่ากลัวจริงๆ แล้วใครมันจะกล้าแตะฟะเนี่ย)

พอเราเริ่มคิดถึงอะไรก็ตามในด้านลบ ความโกรธก็เริ่มจะก่อตัว มารู้ตัวอีกทีก็อีตอนที่โกรธไปแล้วเต็มที่ อาการต่างๆ ก็เริ่มประดังประเดเข้ามาเป็นชุดๆ กล่าวคือ พอรู้ตัวว่าโกรธ ก็จะไม่พอใจตัวเองซ้ำอีกที่โกรธ เพราะคิดว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี คนดีๆเขาไม่โกรธกัน(ก็เกิดอยากจะเป็นคนดีๆกับเขาขึ้นมาอีก) อยากจะหายโกรธ ยิ่งอยากหายจิตใจก็ยิ่งดิ้นทุรนทุรายเพื่อหาทางทำให้หายโกรธ พยายามคิดโน่นคิดนี่เพื่อจะหาทางดับความโกรธ แต่ว่าแทนที่จะคิดด้านบวก ไอ้เจ้าความคิดด้านลบเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ หรือคนนั้นมันก็ดันโผล่ออกมาเสียเป็นส่วนใหญ่(โดยอัตโนมัติ) ยิ่งคิดมันก็เลยยิ่งโกรธ ยิ่งโกรธก็ยิ่งอยากหาย ยิ่งอยากหายก็ยิ่งดิ้นรนจะทำให้หาย ยิ่งดิ้นรนจะทำให้หายก็ยิ่งทุกข์ เกิดเป็นวงจรอุบาทว์อันไม่รู้จบภายในจิตใจ (ถ้าจะว่ากันอีกสำนวนก็คงต้องบอกว่า วงล้อปฏิจจสมปบาทหมุนจี๋ ดูกันไม่ทันเลยทีเดียว) โหย...พอถึงจุดหนึ่งมันทุกข์สุดๆ จนต้องร้องไห้ออกมาเลย คือมันต้องหาทางระบายออกไง (การร้องไห้เป็นการช่วยระบายได้ทางหนึ่งในภาวะที่ไม่รู้จะทำไงดีแล้ว) โครตทุกข์ทรมานเลย

พอได้ร้องไห้แล้วมันก็ชักจะเริ่มได้สติ ก็เลยไปเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟัง แค่ได้ยินเสียงหลวงพ่อก็รู้สึกว่าใจมันเริ่มนิ่ง ย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น ก็เห็นวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง อ้อ! ที่ฉันทุกข์จะเป็นจะตายเมื่อตะกี้น่ะ มันเป็นเพราะจิตมันเผลอไปคิด แล้วก็เผลอโกรธ เท่านั้นยังไม่พอจิตมันยังเผลอไม่ชอบความโกรธ พยายามดิ้นรนจะผลักความโกรธออกไป (อีตรงนี้แหละที่ทุกข์หนัก) จิตไม่เป็นกลางต่อความโกรธนั่นเอง พอจิตเริ่มมีสติเริ่มดูมันเฉยๆแบบเป็นกลาง อยู่ดีๆ สักประเดี๋ยวความโกรธมันก็หายไปเอง แต่ถ้าเราไปเผลอคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธใหม่ เดี๋ยวมันก็กลับมาอีก เออแน่ะ ชักจะเริ่มเข้าใจ(จากประสบการณ์ตรง)ว่าจิตใจมันทำงานแบบนี้เอง แหม แต่กว่าจะเข้าใจก็เล่นเอาทุกข์แทบตายกันเลยทีเดียว

ตอนนี้เราเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมหลายๆครั้งที่รู้ตัวว่าโกรธแล้ว ความโกรธมันยังไม่หายไป ยังคงโกรธอยู่หรือไม่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้รับรู้มันอย่างเป็นกลาง เราใส่คำตัดสินให้โทษ-ให้คุณ ชอบ-ไม่ชอบลงไปในการรับรู้นั้นด้วย เพราะฉะนั้นรู้อย่างเดียวก็ยังไม่พอ แต่ต้องมีสติพอ(จิตใจตั้งมั่นและมีกำลังพอ) ที่จะรับรู้และเฝ้ามองดูมันอย่างเป็นกลางด้วย

หลวงพ่อปราโมทย์สอนว่า ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสภาวะธรรมที่มาสอนเราได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ โกรธ อิจฉา ดีใจ เสียใจ เพียงแต่เรามักจะหลงไปไม่รับรู้ว่านี่คือสภาวะธรรม เราจึงไม่ยินยอมเปิดรับให้ธรรมะเข้ามาทำงานกับตัวเรา ทั้งยังหาทางปฏิเสธ ผลักไสและบ่ายเบี่ยง หรือไม่ก็พยายามควบคุมดัดแปลงมันให้ได้ดั่งใจ (พวกติดดีก็อาจจะวางมาดเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดี พยายามแก้ไข ควบคุมสภาวะที่เกิดขึ้น) ส่วนคนทั่วไปก็อาจคิดไปว่าชาตินี้คงไม่มีทางเข้าถึงธรรมเพราะเข้าใจไปว่าสภาวะธรรมคือ สภาวะที่ใจสะอาด สว่าง สงบ เท่านั้น ซึ่งยากที่จะเข้าถึงสำหรับคนธรรมดาๆ

เมื่อได้มาฟังคำสอนของหลวงพ่อทำให้เราได้เข้าใจว่า อ้อ แท้จริงแล้วสภาวะธรรมนี้มันเป็นเรื่องโครตใกล้ตัวเลย มันเกิดขึ้นอยู่กับกายกับใจของเราทุกๆวันเลยทีเดียว เพราะธรรมะคือ ธรรมชาติ และในความเป็นธรรมชาตินั้นก็คือความเป็นธรรมดานั่นเอง หลวงพ่อบอกว่า กายนี้ใจนี้ของมนุษย์ธรรมดาๆแหละที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาธรรมะ เพราะกายกับใจก็เป็นธรรมชาติ เป็นของธรรมดา เป็นรูปธรรม นามธรรม ที่เกิด-ดับ อยู่กับเราตลอดเวลา ถ้าจะเอากันเข้าจริงๆ เราทุกคนล้วนมีโอกาสฝึกฝนปฏิบัติธรรมกันได้ทุกวัน ทุกๆนาที และการปฏิบัติที่ว่าไม่ใช่การพยายามที่จะเข้าไปควบคุม หรือดิ้นรนดัดแปลงกายกับใจ (ก็อย่างที่บอก ยิ่งดิ้นรนจะทำ มันก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเครียด ยิ่งพยายามทำยิ่งพยายามดัดแปลงมันก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นธรรมดาและความเป็นธรรมชาติ--ตูทำมาแล้วทั้งน้าน) แต่การปฏิบัติธรรมคือ การเฝ้าสังเกตดู ทำความรู้จักกับกายกับใจอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ ตามธรรมดานั่นเอง

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ ชักจะเริ่มรู้สึกขอบคุณความโกรธที่เกิดขึ้นกับตัวเองเสียแล้ว ขอบคุณที่มาสอนให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังต้องสารภาพตามตรงว่า ลึกๆแล้วเราก็ยังไม่ชอบความโกรธอยู่ดี คือมันยังรู้สึกแหยงๆ กับความโกรธน่ะ เพราะว่าเวลาโกรธแล้วมันทุกข์ แล้วไอ้ตัวเราก็ไม่อยากทุกข์ อยากจะสุขอย่างเดียวไง (แต่ที่ตลกคือ เราพบว่า ยิ่งอยากสุขมากเท่าไร มันก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น) ใจมันยังไม่เป็นกลางอย่างแท้จริงนั่นเอง ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร รู้ว่าตัวเองไม่เป็นกลางก็ดีแล้ว ก็ตามรู้ตามดูกันต่อไปตามสภาวะที่ปรากฎ รู้ทันเมื่อไรใจก็คงจะเป็นกลางขึ้นมาได้เองเข้าสักวันกระมัง

Thursday, May 7, 2009

คนกลางข้างถนน

โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

แนวร่วมอาสาสมัคร หวังสังคมที่มีความคิดเห็นแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ผ่านกลไกฝึกอบรมกลุ่มย่อย

แม้ความวุ่นวายจะจางลงไปมากแล้ว แต่ลึกๆ แล้วหลายคนบอกว่า "เกมยังไม่จบ"

ด้วย 'สี' สัญลักษณ์แห่งความเป็นพวกพ้องยังคงอยู่ และไม่จำเป็นต้องแสดงตัวผ่านเสื้อ หรือ ผ้าโพกหัว อีกต่อไป

นั่นหมายความว่า ความขัดแย้ง ระหว่างสียังมีเหมือนเดิม แต่พัฒนาไปในรูปแบบที่เดาทางยากมากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึง ความสามารถในการจัดการน้อยลง?

อย่างที่รู้ สังคมเรียกร้อง 'คนกลาง' มาตลอด โดยเฉพาะคนกลางผู้มีบารมี คนกลางที่ทั้งสองฝ่ายเพราะจะเคารพและเชื่อฟัง...

"เหมือนเรากำลังนั่งรอคนกลางให้หล่นลงมาจากฟ้าหรือเปล่า" หลิน ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ ผู้อบรบนักสื่อสารอย่างสันติ ตั้งคำถามต่อสังคม

การเมือง ‘เป็นเรื่อง’ ในบ้าน

ในบ้านหลังเล็กๆ สามี-ภรรยา คู่หนึ่งอยู่กันมาอย่างสงบสุขมานานหลายปี เขาและเธอไม่มีลูก พอใจที่จะใช้ชีวิตกันสองคนมากกว่า

จนสงกรานต์ที่ผ่านมา เขาและเธอไม่ออกไปไหน นั่งดูข่าวโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ความวุ่นวาย ชนิดนาทีต่อนาที...โดยไม่พูดจากันสักคำ

เขา...ผู้สงสัยในการขึ้นมาของ 'รัฐบาล' ชุดนี้ ว่ามีคนในเครื่องแบบเป็นแบคอยู่เบื้องหลัง คำถามและความไม่ยุติธรรมจึงเกิดขึ้น

เธอ...ผู้อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข เห็นใจและเห็นด้วยกับรัฐบาลในการคลี่คลายปัญหาอย่างละมุนละม่อม พร้อมกับเปิดโอกาสให้รัฐบาลพิสูจน์ผลงานของตัวเองต่อไป

จุดยืนของทั้งคู่ ไม่ได้เป็นความลับ และถูกแสดงออกผ่านวงสนทนาอันประกอบไปด้วยเพื่อนฝูงที่รักใคร่สนิทสนมมาเป็นเวลาหลายปี

มื้อเย็นนอกบ้านวันนั้น มีขึ้นหลังรัฐบาลตัดสินใจจัดการความวุ่นวายด้วยวิธีการที่ฝ่ายค้านตั้งคำถาม

"ไม่มีใครสงสัยเลยหรือว่า ทำไมถึงมีแต่ข่าวเสื้อแดงป่วนเมือง" ฝ่ายชาย ผู้ออกตัวก่อนว่าไม่ได้รักชอบ 'ทักกี้' …เป็นฝ่ายชวนคุย

แม้โดยทั่วไป การเมืองจะเป็นหัวข้อยกเว้นในการสนทนา แต่จังหวะเวลาแบบนั้น การถกเถียงเรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่สมาชิกร่วมโต๊ะเข้าใจได้ และหลายคนก็เตรียมจะมาคุยเรื่องนี้อยู่แล้ว

ความเห็นหลากสี หลายฝ่าย ประเดประดังเข้ามาเต็มโต๊ะ แดงบ้าง เหลืองบ้าง น้ำเงินหน่อยๆ ก็ยังมี ไม่มีสีก็มาด้วย

แต่ความเห็นใดๆ ก็ไม่สมารถจุดชนวนให้ 'แดงหนุ่ม' คนนั้น เดือดได้เท่ากับประโยคสั้นๆ จากคนข้างตัว

"ก็ทำไมไม่ให้โอกาสเขาหน่อยล่ะ เท่าที่ดูเขาก็ออกมาจัดการปัญหาได้ดี ไม่รุนแรง รอดูผลงานเขาต่อไปอีกสักหน่อยดีกว่า"

"รัฐบาลทหารน่ะเหรอ มันไม่ยุติธรรม นี่น่ะเหรอประชาธิปไตย" แดงหนุ่มชักแรงขึ้นเรื่อยๆ

การโต้เถียงระหว่างคนร่วมชายคา ร้อนขึ้นเป็นระยะ เพื่อนร่วมโต๊ะทั้งหลายที่เคยฝักใฝ่ในหลายสี ก็สลายขั้วเฉพาะกิจ เปลี่ยนบทเป็น 'คนกลาง' ช่วยไกล่เกลี่ย ไม่ให้สามีภรรยาบาดหมางกันไปมากกว่านี้

"เคารพความเห็นนะ แต่ก็น่าจะฟังเราบ้าง ไม่เข้าใจเลย แต่ก่อนเธอ (ภรรยา) เคยมีจุดยืนที่เป็นกลางกว่านี้" ลึกๆ แล้ว สามีอยากให้ภรรยาเห็นด้วยกับเขา

ด้วยอารมณ์หลายอย่างผสมกัน ฝ่ายภรรยาหลบไปเข้าห้องน้ำ กดโทรศัพท์หาญาติ ระบายความรู้สึก

"ไม่ไหว อึดอัดมาก อยู่บ้านพูดกันไม่ได้เลย"

เหตุการณ์เช่นนี้ พลอยทำให้ คนกลาง (อย่างไม่ได้ตั้งใจ) รู้สึกอึดอัดไปด้วย เพราะเล่นบทผู้ไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ

และปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้ไกล่เกลี่ยเองก็อาจจะไม่ได้กลางอย่างบริสุทธิ์ ในใจเองก็เอียงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง จนสับสนว่า ตัวเองจะยึดหลักใดในการไกล่เกลี่ย กระทั่ง ไม่แน่ใจว่าระหว่างไกล่เกลี่ย ความรู้สึกส่วนตัวจะยิ่งทำให้ความขัดแย้ง รุนแรงขึ้นหรือไม่

คนกลาง เลือกข้างก็ได้

"คนกลาง ไม่จำเป็นต้องเป็นกลางนะ" ไพรินทร์ กำลังจะบอกอีกว่า ทุกคนเป็นคนกลางได้ ถ้าอยากและมีความตั้งใจดีที่จะเป็น

สงกรานต์ร้อนระอุที่ผ่านมา คลิปไล่รถแท็กซี่ของชาวสาธรที่ถูกส่งต่อกันให้วุ่น เป็นการแสดงพลังอย่างหนึ่งของพวกไม่เลือกข้าง หลังจากโดนรุกก่อนด้วยการปิดถนน

คำถามก็คือ ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานะผู้ถูกกระทำอย่างจังแบบนี้ จะมีใครออกมาเคลื่อนไหวบ้างไหม

หรือใครก็ตามที่นั่งเฝ้าข่าวหน้าจอแทบจะ 24 ชั่วโมงในช่วงนั้น เคยอึดอัด (มากๆ) จนต้องถามตัวเองหรือไม่ว่า “แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง” ที่มากกว่าการเป็นผู้ชมที่ดี

“นั่นเป็นความตั้งใจที่ดีและมีค่ามากนะคะ” กัญญา ลิขนสุทธิ์ นักฝึกอบรบการสื่อสารอย่างสันติ และนักจิตบำบัดจากสหรัฐอเมริกา วิทยากรหลักสูตร ‘การเป็นคนกลางตามแนวทางการสื่อสารอย่างสันติ’ ของเสมสิกขาลัยร่วมกับไพรินทร์ ชี้ช่องที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของคนกลางได้

แต่แค่ความตั้งใจดียังไม่พอ การเป็นกาวใจเชื่อมความขัดแย้งได้ ต้องมีผ่านคอร์สบ่มทักษะกันหลายขั้น

เริ่มที่ ฟังและแปลความ โดยส่วนใหญ่ คู่ขัดแย้งมักไม่สามารถรับฟังกันได้ หรือเลือกฟังเฉพาะสิ่งที่ตัวอยากฟัง จึงจำเป็นต้องพึ่งการรับฟังทั้งสองฝ่ายของคนกลาง จากนั้นต้องใช้ทักษะการแปลคำพูดที่อาจมีการตัดสิน ต่อว่า วิจารณ์ ให้เป็น ความรู้สึกและความต้องการเบื้องลึก เพื่อให้คู่กรณีเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน และเข้าใจกันได้

“ต่อมาคือ ช่วยให้แต่ละฝ่ายสะท้อนสิ่งที่ตนได้ยิน ขอให้อีกฝ่ายพูดสิ่งที่ตนได้ยินออกมา ยกตัวอย่าง ก.กับ ข.ทะเลาะกัน เราไปฟังทั้งคู่มาแล้ว แล้วจับ ก.กับ ข.มานั่งด้วยกัน ให้สะท้อนความรู้สึกและความต้องการของตัวเองออกมา แล้วให้แต่ละฝ่าย ช่วยทวนซ้ำว่าฝั่งตรงข้ามพูดอะไรบ้าง”

กัญญา อธิบายต่อว่า 2 ขั้นตอนดังกล่าว จะถูกใช้ไปเรื่อยๆ จนทั้ง ก.และ ข. เข้าใจกัน

ระหว่างที่คนกลางกำลังพูดกับ ก.หรือ ข.อยู่ จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดแทรกหรือพูดอะไรที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง อาจต้องใช้การ ขัดจังหวะ ด้วยการขอร้องให้อีกฝ่ายหยุดและฟังก่อน

จากนั้นเป็นขั้นตอนการ ปฐมพยาบาลด้วยการให้ความเข้าใจ จะใช้ก็ต่อเมื่อ ขัดจังหวะไปแล้ว ฝ่ายนั้นยังไม่ยอมหยุด

เช่น...

ข. : ก.เองก็น่าจะสำนึกว่าทำอะไรลงไป ทำอย่างนี้เท่ากับก่อจลาจล คนเดือดร้อนไปทั่ว

คนกลาง : คุณต้องการ...

ก. (พูดแทรก) : เราทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง

คนกลาง (หันไปทาง ก. ให้การปฐมพยาบาล) : คุณอยากได้รับความเข้าใจในการกระทำของคุณใช่ไหม

ก. : ใช่

คนกลาง : เดี๋ยวเราจะกลับมารับฟังเรื่องคุณแน่นอน ตอนนี้ขอให้เรากลับไปฟัง ข.ก่อนได้ไหม

หากหัวใจสำคัญอยู่ที่การ ให้ความเข้าใจตัวเอง แม้คนกลางจะจะเตรียมตัวมาแล้วอย่างดี แต่ก็ยากที่จะวางตัวเป็นกลางได้จริงๆ แอบตัดสินคู่กรณีในใจหรือมีอคติมาก่อน เรื่องนี้ ไพรินทร์ ประสบกับตัวเองมาก่อน เมื่อคราวลงพื้นที่ไปรับฟังกลุ่ม นปช.

“เราเหลืองทั้งบ้าน ยอมรับว่าก่อนไป มีอคติกับเสื้อแดงมากๆ ไม่ชอบเลย ตั้งคำถามเชิงลบกับสิ่งที่เขาทำตลอด”

แต่พอลงพื้นที่จริงๆ จากที่เคยโกรธ เกลียด ก็กลับต้องเสียน้ำตาให้

“เขาบอกว่าที่ต้องมาต่อต้านอย่างนี้ เพราะสมัยพฤษภาทมิฬ เคยออกมาชุมนุมแล้วถูกทหารเหยียบ จึงเกลียดการปฏิวัติมากๆ พูดไปก็ร้องไห้ไป เราถึงเข้าใจและสงสาร”

หาก ‘อคติ’ และ การเลือกข้าง กลับโผล่มาตอนบทคนกลางกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม คนเริ่มเอียงก็อาจจะขอเวลานอกหลบไปทบทวนตัวเอง 2 นาที เพื่อทำความเข้าใจตนเองและดึงตัวเองกลับมา

ขั้นตอนนี้ทำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า บ่อยเท่าที่เราออกอาการเขว

สุดท้าย ติดตามความต้องการ คนกลางจะคอยติดตามดูว่าเราอยู่ที่ไหนแล้วในกระบวนการและความต้องการใดยังไม่ ได้รับหรือได้รับการสะท้อนแล้วบ้าง

........................................................................

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีสี ไม่อยากจะมีสี หรือมีสีอยู่ในใจแต่เลือกที่จะไม่แสดงออก

บางคนก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก บ้านหลังเล็กๆ ที่เคยสุขสงบ ก็เกิดแบ่งพรรคแบ่งพวก จนพูดจากันไม่ได้ กลุ่มเพื่อนฝูงที่เคยนัดกันทุกเย็นวันศุกร์ งดรวมพลกันไปโดยปริยาย กระทั่งความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างผู้โดยสารกับคนขับแท็กซี่เพื่อหลีก เลี่ยงความขัดแย้ง ฯลฯ

คนหลากกลุ่มนี้ อาจจะมี ‘ความอึดอัด’ ที่เหมือนๆ กัน แต่ไม่รู้จะแปรรูปออกมาเป็นอะไร

“เราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ แต่ทำให้ความต่างอยู่ด้วยกันได้อย่างเข้าใจและเคารพ” คำหลัง กัญญา เน้นย้ำว่าสำคัญมากสำหรับสังคมหลากขั้วในปัจจุบัน

เคารพในที่นี้ คือ เคารพในความเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน ที่ไม่ว่าใครก็ต้องการความสุข สงบ และปลอดภัย

ทั้งกัญญาและไพรินทร์ ก็คือ คนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มียศฐา หรือบารมีใดๆ แต่เธอทั้งคู่อาสาที่จะเป็นคนกลาง และกำลังคิดหา ‘แนวร่วม’ ผ่านการจัดอบรมกลุ่มเล็กๆ

แนวร่วม...ผู้อึดอัดและอยากจะเห็นบ้านเมืองมีความสุขมากกว่านี้

* กลางอเนกประสงค์

การเป็นคนกลาง ไม่ได้มีไว้ใช้แค่การเมืองเรื่องใหญ่โต แต่เรื่องทะเลาะจุกจิกระดับในบ้าน โรงเรียน หรือองค์กร ก็เวิร์คเหมือนกัน

น้ำ ครูใหญ่ ศูนย์การเรียนรู้บ้านเด็กป่า จ.กาญจนบุรี ผู้ผ่านการอบรมสานสัมพันธ์ด้วยขันติ ขั้น 1 มาแล้วกับเสมสิกขาลัย ก็เอาวิชานี้ไปใช้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงานและ เด็กๆ (ไร้สัญชาติ)

“สำหรับตัวเอง ได้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผลของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เวลามีเรื่อง เราก็จะโต้ตอบกลับไปอัตโนมัติแบบเจ็บๆ หรือไม่ก็ปั้นปึ่ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำไม่ได้ คิดว่าเราเป็นเจ้านาย เขาคือลูกน้อง”

หลังกลับจากอบรม น้ำฝึกดูตัวเองมากขึ้นว่า รู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร และสิ่งใดที่กังวลอยู่ จนได้คำตอบว่า กลัวโรงเรียนจะเสียทิศทาง ซึ่งลึกๆ แล้วก็คือความเป็นห่วง

น้ำจึงเปลี่ยนวิธีใหม่ โดยการสื่อสารและแจ้งความต้องการของตัวเองไปตามตรง และปรากฏว่า ลูกน้องเองก็ต้องการไม่ต่างกัน เรื่องมันก็เลยง่ายขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น

กับเด็กเอง น้ำก็เคยลองวิชาอยู่หลายครั้ง

ลูกศิษย์คนหนึ่ง รายนี้ขาป่วน ขี้โมโห ชอบหาเรื่องเพื่อนตลอดเวลา

“คุยกับเขาว่า โกรธเหรอ เสียใจ อึดอัดใช่ไหม มือเขาที่กำแน่นก็คลายลง น้ำตาไหล คุยกันจนรู้ว่า เขาโตมากับครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง”

อีกกรณี พี่น้อง 2 คนทะเลาะกันแรง คนน้องกลัวว่าพี่จะฆ่า

“พอไปสะท้อนให้คนพี่ฟัง เขาก็ตกใจ เขาไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่ที่โกรธเพราะน้องมายั่วโมโหก่อน พอเราสะท้อนให้รู้ ทั้งคู่เสียใจ โดยไม่ต้องมาบังคับว่า ขอโทษกันนะ ดีกันนะ มันฝืนใจกัน”

น้ำบอกว่า เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องหาทางออก แค่สื่อสารความต้องการลึกๆ อย่างเข้าใจ เรื่องก็พร้อมจะคลี่คลายไปเอง ไม่ต้องบังคับให้จับมือกัน กอดกัน เพราะอาจเป็นแค่ฉากบังหน้า

ส่วนการเมือง เธอออกตัวว่า ไม่ค่อยได้ติดตามข่าว จึงไม่ค่อยมีความเห็น นอกจาก...

“เบื่อๆ เหนื่อยๆ ตามประสาคนทั่วไป”

เพื่อนร่วมคอร์สอีกคน ทพ.เจิมพล ภูมิตระกูล กรรมการบริหารโรงพยาบาลรามคำแหง ที่ตั้งใจจะเอาวิชามาใช้ในงานบริหารบุคคล หวังผลมากกว่านั้นคือ ต้องการขจัดความใจร้อนของตัวเอง

“เราใช้อำนาจแบบ Power over ไปบังคับลูกน้อง บางครั้งลูกน้องไม่ทำตาม เราจะเข้าใจว่าเขาดื้อ กระด้างกระเดื่อง ด่วนตัดสินเขา” แต่พอได้เอาสิ่งที่เรียนกลับไปใช้ สื่อสารความต้องการของตัวเองอย่างจริงใจมากขึ้น

ผลปรากฏว่า เหตุผลที่ลูกน้องไม่รับงานหรือไม่ทำตามคำสั่งนั้น มาจากความกังวลและกลัวว่าจะทำไม่ได้หรือทำผิด

“เราให้ความเชื่อใจ ไว้ใจ ให้เขาลองทำ แล้วเราคอยบอก สอนเขาเป็นระยะๆ เขาจะมั่นใจ” ปัญหาหมดไปได้ เพราะทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างก็ต้องการให้งานออกมาดี

ช่วงประชุมร่วมรัฐสภาที่ผ่านมา ทพ.เจิมพล เองก็เฝ้าดูอยู่ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ถ้าเราเป็นคนกลางหรือประธานสภา จะทำอย่างไร

“แต่ละฝ่าย พูดถึงแต่วิธีการ ความไม่ดีของอีกฝ่าย เหน็บแนม โจมตี ถ้าผมเป็นประธานสภา จะพยายามพูดให้รู้ว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร สะท้อนให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ ซึ่งลึกๆ แล้ว เขาต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือ อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างสงบและแข็งแรง” ส่วนผลประโยชน์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

ปล. พี่เล็ก(งามศุกร์)ส่งบทความนี้มาให้ อ่านแล้วอยากแบ่งปันจึงขอเอามาโพสต์ไว้