Wednesday, February 25, 2009

เพลง ความคิด

ฟังเพลงเพลง ความคิด

เนื้อเพลง ความคิด



ยังเดินผ่านทุกวัน ที่ๆเราพบกัน เมื่อก่อน
ยังจำซ้ำๆได้ทุกตอน ราวกับมีใครมาหมุน ย้อนเวลา

แต่ก็คงจะหมุนย้อนได้แค่ในความคิด ในชีวิตจริงคงไม่เจอกันอีกแล้ว
ยืนอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีวี่แวว เธอจากไปแล้ว และคงไม่ย้อนคืนมาหา

ได้แต่ฝาก ความคิด ของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอ ตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ..

อยากเจอเธอเหลือเกิน เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทาง
ฉันมีความคิดหลายๆอย่าง หลายอย่างเหลือเกินที่ฉันไม่ได้พูดไป
แต่กลับมานึกขึ้นได้ในเวลานี้ ในเวลาที่เธอเดินจากฉันไปแสนไกล
หากเธอนั้นยังอยู่ จะกอดเธอให้ชื่นใจ และคอยพูดออกไปทุกสิ่งที่อยู่ในใจฉัน

ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอ ตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็น ความคิด ที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ

Thursday, February 5, 2009

ปล่อยวาง

อันนี้เพื่อนส่งมาให้อีกทีลองอ่านกันดูนะขอรับ

---อ่านบทกลอนที่เขียนโดยคนนิรนาม และคุณจิตราภรณ์ วนัสพงศ์ นักแปลอิสระอ้างถึง เพื่อใช้เตือนสติตัวเธอ ในภาวะที่เกิดความผิดหวังด้วยสารพัดตัวแปรที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้า หรือรู้ก็ควบคุมไม่ได้ เธอจึงเห็นด้วยกับบทกลอน Letting Go Takes Love ว่า เราต้องรักตัวเองก่อน พร้อมจะให้อภัยตัวเองก่อน ถึงจะปล่อยอย่างอื่นให้ผ่านไปได้.....ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ที่ตัวเราเองก็ห่างไกลความสมบูรณ์อยู่มากนัก หวังว่ากลอนบทนี้จะช่วยเตือนสติเพื่อนๆ เช่นกันนะค่ะ----


การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าจะเลิกห่วง แต่หมายความว่าฉันทำแทนคนอื่นไม่ได้
การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าจะตัดใจจาก แต่คือการตระหนักว่าฉันไม่สามารถควบคุมชีวิตคนอื่น
การปล่อยวางไม่ใช่การสร้างอำนาจ แต่เป็นการปล่อยให้เรียนรู้จากผลที่ตามมาตามกฎธรรมชาติ
การปล่อยวางคือการยอมรับความไร้อำนาจ ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์มิได้อยู่ในอุ้งมือของฉัน
........................................................
การปล่อยวางไม่ใช่การสำนึกเสียใจในอดีต แต่คือการเติบโต และมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคต
การปล่อยวางคือ...การกลัวให้น้อยลง...และรักให้มากขึ้น

To let go does not mean to stop caring, it means I can't do it for someone else. To let go is not to cut myself off, it's the realization I can't control another. To let go is not to enable, but allow learning from natural consequences. To let go is to admit powerlessness, which means the outcome is not in my hands. ....................................................... To let go is not to regret the past, but to grow and live for the future. To let go is to fear less and love more.

Tuesday, February 3, 2009

No Reservation



วันก่อนดู HBO เรื่อง No Reservation เปิดเจอโดยบังเอิญ สนุกดี

ย่อหน้าข้างล่างเป็นบทวิจารณ์ของติสตู จากมติชน (ไปค้นหามาจาก google)

หนัง ที่นำเสนอในแนวทางโรแมนติคคอมเมดี้ ว่าด้วยเรื่องชวนหัวพ่อแง่แม่งอนของเชฟหนุ่มผู้ถนัดอาหารอิตาเลียน กับเชฟสาวผู้หลงใหลอาหารฝรั่งเศสที่ต้องโคจรมาอยู่ในครัวเดียวกัน แต่หนังก็เล่าเรื่องมากกว่าแค่ เธอฉันแข่งกันปรุงอาหารแล้วเราก็รักกันในครัว

- -หนังเทน้ำหนักให้เห็นปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพของ "เคท" (แคทเทอรีน ซีตา โจนส์)...เชฟสาวผู้เคร่งครัดต่อการทำงาน และใช้ชีวิตประจำวันซ้ำๆ ซากๆ

- -แม้เคทจะทำได้ดีในบทบาทของเชฟ...เธอมีความรับผิดชอบและภักดีอย่างแน่วแน่ ต่อวิชาชีพ...เคทคือหัวหน้าเชฟผู้สามารถบริหารจัดการ ควบคุมความยุ่งเหยิงวุ่นวายภายในครัวได้อย่างลงตัว เป็นนักสมบูรณ์แบบในครัวตัวจริง

แต่นอกร้านอาหาร นอกห้องครัว เคทเลือกใช้ชีวิตปิดกั้นความสัมพันธ์ ปฏิเสธแม้กระทั่งมิตรภาพฉันเพื่อนที่ไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

ผล ที่เห็นชัดเมื่อเธอต้องดูแล "โซอี้" (อบิเกล เบรสลิน หนูน้อยน่าเอ็นดูใน Little Miss Sunshine) หลานสาวกำพร้า ความเป็นนักสมบูรณ์แบบในหน้าที่การงานแทบจะหายหมดไป

นอกจากเธอจะปรับ ตัวกับหลานสาวได้ยากยิ่ง แล้ว เคทที่ดูเป็นคนประณีต ละเอียดลออในการปรุงอาหารกลับไม่สามารถละเอียดลออต่อ การใช้ชีวิต และไม่สามารถใส่ใจต่อรายละเอียดของหลานสาวได้...

การเปรียบเปรยที่ดี คือเคททำอาหารชั้น เยี่ยมให้หลานสาว แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมหลานสาวถึงไม่กินอาหารจานเลิศนั้น แต่เลือกจะกินสปาเกตตี้ง่ายๆ จากเชฟอาหารอิตาเลียนที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟให้เธอ

หนัง เล่าเรื่องง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน มีความเป็นสูตรสำเร็จที่ให้ตัวละครหมักหมมกับปัญหานั้นมานาน และมีตัวละครก้าวเข้ามาในชีวิต พร้อมสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ และเข้าใจในที่สุด

แต่อย่างน้อยหนังได้พูดถึงคนในสังคม เมืองประเภทที่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา แต่กลับเบาโหวงทางใจ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว

ภายใต้ความมั่นใจในการควบ คุม "บางสิ่ง" ได้ แต่...บางครั้งก็ยากที่จะให้ชีวิตเป็นสูตรสำเร็จเหมือนสูตรอาหารที่ดำเนิน ชีวิตไปตามเครื่องปรุงรส ตามวิธีปรุง ถ้าทำตามสูตรอาหารได้ดีมันก็ออกมาดี ทำแย่มันก็ออกมาแย่ แต่ในชีวิตจริงๆ หาเป็นเช่นนั้น




แม้หนังจะมี บรรยากาศแง่งามของศิลปะแห่ง การปรุงอาหาร แต่การปรุงอาหารก็แตกต่างจากการดำเนินชีวิตที่คนปรุงแต่ละคนย่อมมีรูปแบบ ลีลา น้ำหนักมากน้อยต่างกัน...เคทเองต้องค่อยๆ เรียนรู้ว่าแม้จะตั้งใจปรุงอย่างสุดฝีมือ ย่อมมีทั้งคนชอบ เพราะถูกปาก กับคนที่ไม่ชอบอาหารที่เธอทำ

และคนที่ไม่ชอบก็ไม่ใช่คนผิด แต่เพราะอาหารนั้นไม่ต้องจริตเขานั่นเอง กว่าเธอจะเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง ว่าบางครั้งความสมบูรณ์แบบก็ไม่ใช่ ที่สุดของบางคน

บางครั้งการยอมรับในความแตกต่าง ความชอบ/ไม่ชอบที่ต่างกันคือความรื่นรมย์ของชีวิต อาหารรสเลิศที่ขึ้นชื่อลือชาของฝรั่งเศสทั้งเห็ดทรัฟเฟิล หรือฟัวกรา ที่เคทยกย่อง อาจเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ค่าและมาตรฐานว่าเป็นของดี สิ่งดี แต่ใช่ว่ามันจะ "ใช่" สำหรับทุกคน เช่นที่หลานสาวของเธออยากกินแค่ "แพนเค้ก" บิดๆ เบี้ยวๆ กึ่งเกรียม ที่มาจากความสุขในการลงมือทำ

เพราะบางครั้งเราก็เลือกจะกินและทำอะไรให้ง่าย เพื่อให้ชีวิตซับซ้อนน้อยลง

---------------------------------------
ฮะแฮ่มต่อไปนี้เป็นบทวิจารณ์ของข้าพเจ้า (เขียนตามใจตัวเอง ไม่มีหลักการใดๆ)

ดูๆ ไปก็พบว่ามีหลายอย่างที่เราชอบในหนังเรื่องนี้แฮะ (นอกจากหน้าสวยๆสุดแสนจะ sexy ของนางเอกแล้วอ่ะนะ) ชอบฉากการทำงานในครัว การปรุงอาหาร มันช่างดูพิถีพิถัน ปราณีต บรรเจิด ทว่ารวดเร็วประดุจการทำงานศิลปะ อารมณ์ประมาณแนว impressionism ไงงั้น

แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้ซับ ซ้อนลึกซึ้งอะไรมากมายนัก แต่ว่าหนังก็มีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้เราติดตามต่อไปได้จนจบ ชอบการดำเนินเรื่องที่ให้เห็นการเปลี่ยนผ่านของตัวนางเอก "เคท" จากคนที่เน้นความสมบูรณ์แบบ มีระเบียบระบบที่ชัดเจน ตายตัวกับทุกสิ่ง ไปสู่ความผ่อนคลายมีชีวิตชีวา เมื่อความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงเดินทางมาเคาะประตูชีวิตของเธอ

อืม... ชอบฉากที่เคทตัดสินใจที่จะยอมผ่อนปรนและผ่อนคลายกับตนเอง เพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ของการสร้างความสัมพันธ์ที่รื่นเริง+ผ่อนคลายกับโซอี้ หลานสาว (หลังจากผ่านการทะเลาะกับหลานสาว และนั่งร้องไห้ด้วยกันตอนดู VDO เก่าๆที่โซอี้เคยไปทะเลกับแม่ของเธอ) เช้าวันนั้น เคทเลือกที่จะลางาน เพียงเพื่อจะอยู่เล่นเกมเศรษฐีกับหลานสาวที่บ้าน ฉากนี้มีชีวิตชีวา สนุกสนาน เรารู้สึกได้ว่าเราเห็นพลังชีวิตของนางเอก ค่อยๆผลิบาน ออกมาจากกรอบแคบๆที่เธอวางไว้กับตัวเอง

ชอบพระเอกด้วย ช่างไร้ระเบียบแบบแผน มีชีวิตชีวา ทำอะไรตามใจตัวเองได้สนุกดีแท้ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็อ่อนโยนมากพอที่จะเข้าถึงจิตใจของโซอี้และเคทได้ ใส่ใจและดูแลคนรอบข้างอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่ฉากที่สะใจมักๆ คงเป็นฉากที่ นางเอกเดินถือมีดเสียบชิ้นสเต๊กสดๆ เดินฉับๆ ไปที่โต๊ะลูกค้า พร้อมกับปักมีดที่เสียบสเต๊กชิ้นนั้น ฉึก! ลงไปบนโต๊ะลูกค้าคนที่ี่สั่งสเต๊กจานเดิมซ้ำ 2 หน เพราะไม่พอใจกับสเต๊กที่เคทปรุงให้ พลางหันไปบอกเจ้าของร้าน (ไฮโซ) ด้วยน้ำเสียงสะใจแบบสุดๆว่า "ฉันรู้สึกดีจัง ที่ได้ทำแบบนี้" แล้วก็ถอดผ้ากันเปื้อนโยนทิ้ง เดินไปขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้าน ท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งร้าน เป็นอันว่าเธอได้ตัดสินใจลาออกจากงานที่เธอทำมากว่า 20 ปี ในวันนั้นเอง

ตอน จบเป็นไงก็ไปหาดูกันเอาเองละกันเน้อ เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ สนุกดี ใครที่เป็นแฟนแคทเธอรีน ซีต้าโจนส์ น่าจะตกหลุมรักเธออีกทีได้ไม่ยากเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบลง

เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับหลักกรรม

เพื่อนส่งมาให้ เลยเอามาโพสต์ไว้ เพราะอ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์ดี
---------------------

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11258 มติชนรายวัน


เพื่อความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรม (16) อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์สำคัญหรือไม่


คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก




คอลัมน์ นี้ขีดวงไว้ว่าให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกรรม เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจชัดขึ้นว่า กรรม ในความหมายของพระพุทธศาสนานั้นคืออย่างไร เชื่ออย่างไรจึงจะนับว่าไม่ผิดหลักพระพุทธศาสนา ก็ได้เขียนมาหลายตอนแล้ว วนไปวนมาอยู่นั่นแล้ว เพราะว่าที่จริงแล้ว เรื่องของกรรมมันมีนิดเดียวเท่านั้นเอง เขียนครั้งสองครั้งก็หมดเนื้อหา แต่ถ้าจะให้ "บรรเลง" ต่อไปไม่รู้จบ แบบนวนิยาย 300 ตอนจบ ก็เห็นจะต้องประยุกต์ หรือขยาย ตลอดจน "ใส่ไข่" ให้มากๆ อย่างนี้ละก็ได้

มี ผู้ไปเรียนถามท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระเถระนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาว่า การเชื่อในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ถูกต้องหรือไม่

ท่านเจ้าคุณตอบว่า "ถ้าเชื่อแล้วไม่ให้เสียหลักกรรมก็ใช้ได้"

ท่าน อธิบายว่า ในขณะที่เราเชื่อเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ หรือเรื่องเหนือสามัญวิสัยของคนทั่วไป เช่น เชื่อภูตผีวิญญาณ เชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราไม่เพียงแต่เชื่อแล้วบวงสรวงอ้อนวอนขอให้สิ่งเหล่านั้นช่วยอย่างเดียว แต่เรากระทำด้วย ถ้าอย่างนี้ก็ไม่เสียหลักกรรม นับว่าใช้ได้อยู่

ขอ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ในสังคมไทยเรานี้แหละ คนมักเชื่อเรื่องเทวดา ที่มากที่สุดก็คือ พระภูมิเจ้าที่ เวลาสร้างบ้านใหม่ ก็จะตั้งศาลพระภูมิแล้วก็เอาของไปเซ่นไหว้ จุดธูปบูชาเป็นประจำ

ดูเหมือนแทบไม่ค่อยมีบ้านไหนที่ไม่ตั้งศาลพระภูมิ (มีเหมือนกัน แต่มีน้อย บ้านผมก็ไม่ตั้ง)

คนที่เชื่อเรื่องพระภูมิเจ้าที่มีอยู่ 2 ประเภท คือ

1. ประเภทที่หนึ่ง เชื่อว่าพระภูมิมีอิทธานุภาพบันดาลอะไรทุกอย่างให้เราได้ จึงเฝ้าอ้อนวอนขอพรขอโชคจากพระภูมิมิได้ขาด ทำอะไรสำเร็จ ก็ยกให้ว่าเพราะพระภูมิท่านบันดาลให้ หรือประสบความขัดข้องอะไรบางอย่างก็คิดว่า เพราะตนเองล่วงเกินพระภูมิเจ้าที่ หรือไม่เอาใจใส่ท่านเท่าที่ควร ท่านจึงทำโทษเอา

2.ประเภทที่สองนี้ คือเชื่อว่าพระภูมิเจ้าที่ก็มีจริง อาจมีส่วนในการบันดาลอะไรให้คนผู้เซ่นไหว้บ้าง หรืออย่างน้อยก็เป็น "กำลังใจ" ให้ผู้ที่กราบไหว้ แต่ความเจริญหรือเสื่อม ความสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตของแต่ละคนนั้น เนื่องมาจากการกระทำเป็นปัจจัยสำคัญมากกว่า

คนประเภทที่สองนี้ ไม่ปฏิเสธพระภูมิเจ้าที่ แต่ถือพระภูมิเจ้าที่เป็นเพียงเงื่อนไขหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ "ทั้งหมด" ของชีวิต

คน ที่เชื่อพระภูมิเจ้าที่ประเภทหลังนี้แหละที่ท่านว่า "ไม่เสียหลักกรรม" คือให้ความสำคัญแก่การกระทำ การสร้างสรรค์ของคนมากกว่าการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ภายนอก

คนประเภทแรกเป็นพวก"คอยโชคชะตา" หรือ "ปล่อยไปตามดวง" คนประเภทหลังเป็นพวก "ลิขิตชีวิตตนเอง"

พฤติกรรม ที่แสดงออกมาของคนสองประเภทนี้จะต่างกัน ประเภทแรกจะเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ค่อยกระตือรือร้น ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เพราะอะไรๆ ก็หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมด ประเภทที่สองจะเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง ขยันขันแข็ง ไม่งอมืองอเท้า

ขอยกนิทานชาดกเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม

พระ ราชาสองพระองค์ทำศึกสงครามกัน ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะรบกันเหนื่อยแล้วก็พักรบแล้วก็รบกันต่ออยู่อย่างนี้มา นานนับปี วันหนึ่ง ฤๅษีผู้มีอภิญญาตนหนึ่งไปพบพระอินทร์ ฤๅษีถามพระอินทร์ว่า รู้ข่าวพระราชาสองพระองค์รบกันไหม พระอินทร์ตอบว่า มีอะไรบ้างล่ะที่โยมไม่รู้ เครือข่ายดาวเทียมของโยมก็กว้างไกล สื่อต่างๆ ก็มีครบ ทำไมจะไม่รู้ ไม่แค่นั้นนะ โยมรู้กระทั่งว่าในที่สุดพระราชาองค์ไหนจะชนะ

"องค์ไหน" หลวงพ่อฤๅษีอยากรู้บ้าง

"ก็องค์ที่ครองเมืองทางตะวันออกนั่นแหละจะชนะ"

ฤๅษี ได้บอกเรื่องนั้นแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิด แล้วข่าวก็แพร่ไปถึงพระกรรณของพระราชาทั้งสองพระองค์ องค์ที่ได้รับการทำนายว่าจะรบชนะก็ดีใจ เฉลิมฉลองชัยชนะล่วงหน้ากันเอิกเกริก

ฝ่ายพระราชาองค์ที่ได้รับคำ ทำนายว่าจะแพ้ ก็เสียใจพักหนึ่ง แต่ก็คิดได้ว่า คนเราเกิดมามีสองมือสองเท้า มีมันสมองเหมือนกัน เราต้องคิดหาทางเอาชนะให้ได้ คิดดังนี้แล้วก็ไม่ประมาท คอยฝึกปรือนักรบของตนให้ชำนิชำนาญการรบยิ่งขึ้น ให้กำลังใจแก่กองทัพ วางแผนเพื่อการต่อสู้ครั้งต่อไปอย่างรัดกุม

เมื่อถึงคราวประจัญบาน กันจริงๆ กองทัพของพระราชาที่ถูกทำนายว่า จะแพ้กลับชนะ ตีกองทัพของพระราชาอีกองค์แตกกระจุย พระราชาผู้ที่ได้รับคำทำนายว่าจะชนะ ก็มาต่อว่าฤๅษี หาว่าทำนายทายทักส่งเดช ไม่รู้จริงแล้วก็อุตริทายผิดๆ ไหนว่าข้าพเจ้าจะชนะไง ทำไมมันถึงแพ้เขาย่อยยับอย่างนี้

ฤๅษีก็หน้า แตกไปตามระเบียบ ไปต่อว่าพระอินทร์หาว่าเป็นต้นเหตุให้แกหน้าแตก พระอินทร์ตอบว่า ที่ทายนั้นไม่ผิดดอก ถ้าหากว่าพระราชาสองพระองค์นั้นปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเมื่อรบ กัน องค์ที่โยมว่าจะชนะนั้นต้องชนะแน่ แต่บังเอิญว่า องค์ที่ได้รับคำทำนายว่าจะแพ้ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงกองทัพของตนด้วยความไม่ประมาท ในขณะที่อีกองค์มัวแต่เลี้ยงฉลองกันอยู่ เรื่องมันจึงกลับตาลปัตร

พระอินทร์พูดเชิงสอนฤๅษีว่า ทุกอย่างย่อมสำเร็จได้ด้วยความเพียร คนที่พากเพียรพยายามอย่างสูงสุด เทวดาก็รั้งเขาไว้ไม่ได้

นิทานก็คือนิทาน แต่สาระของนิทานมันมี ต้องอ่านไปคิดไปจึงจะรู้ว่า "สาระ" อยู่ที่ไหน

ใน เรื่องนี้ท่านเน้นว่า อำนาจการกระทำด้วยความพากเพียรพยายามนั้นอยู่เหนือการดลบันดาลของสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือสามัญวิสัยใดๆ ยิ่งถ้าเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดแล้ว แม้เทวดาก็กีดกันไม่ได้

การกระทำด้วยความพากเพียรพยายามนี้แหละ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ "กรรม" นั้นเอง

เรา จะเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เรื่องลึกลับอะไรก็เชื่อได้ แต่เชื่อแล้วอย่างอมืองอเท้า นั่งรอนอนรอ หรือสวดอ้อนวอนให้สิ่งเหล่านั้นช่วยเราอย่างเดียว เชื่อแล้วต้องทำสิ่งที่ควรทำอย่างเต็มความสามารถด้วย โดยเอาความเชื่อนั้นเป็นแรงบันดาลใจ เชื่ออย่างนี้ไม่ผิด ไม่เสียหายอะไร

ยก ตัวอย่าง เช่น นักมวยแชมป์โลกคนหนึ่ง เขานับถืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระเครื่องสมเด็จฯโตมาก ก่อนจะขึ้นชกทุกครั้งเขาจะไหว้สมเด็จฯโต ขอพรสมเด็จฯโต ขอให้เขาชกชนะ และเขาก็ชนะคู่ต่อสู้เรื่อยมา รักษาเข็มขัดแชมป์ไว้ได้นานเป็นประวัติการณ์

เขา เชื่อมั่นในอภินิหารของสมเด็จฯโต แต่ขณะเดียวกัน เขามิได้อยู่เฉยๆ เขาขยันฝึกซ้อมมิได้ขาด จะชกกับใครก็มิได้ประมาท ศึกษาจุดด้อยจุดเด่นของคู่ต่อสู้ชกอย่างใช้มันสมอง แล้วเขาก็ประสบชัยชนะเรื่อยมา

ถามว่า แชมป์โลกคนนี้สามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ยาวนาน เพราะอภินิหารของสมเด็จฯโต หรือว่าเพราะ "กรรม" (การกระทำ) ของเขา ตอบว่า เพราะทั้งสองอย่างนั้นแหละ แต่ปัจจัยใหญ่อยู่ที่การกระทำของเขาเอง อภินิหารของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกนั้นเป็นเพียงปัจจัยสนับสนุน

ความ เชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของนักมวยคนนี้ ไม่เสียหลักกรรม (อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกว่า) เป็นเรื่องดี มิได้เสียหายอะไร ส่วนคนอื่น ใครจะเชื่ออะไรนั้นก็เชื่อไปเถิด ขอให้ปฏิบัติต่อความเชื่อนั้นตามแนวของหลักกรรมก็เป็นอันว่าใช้ได้