หนังสือเล่มนี้สนุกดี มีแนวคิดพลิกกลับตาลปัตรต่อมุมมองที่มีต่อชีวิตและการเงิน ชนิดที่หลายๆคนคงอ้าปากค้างร้องเหวอ กันเลยทีเดียว
เมื่ออ่านมาเพียงไม่กี่หน้าและทดลองตอบคำถามไม่กี่ข้อตามแบบฝึกหัดในหนังสือ ฉันก็พบว่าสภาพของฉันในตอนนี้นี่มันช่างตรงกับพวก "เถรตรงถังแตก" เสียจริง พวกนี้จะทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง และทำให้ดีตามมาตรฐานที่วางไว้ คิดอยู่ในกรอบไม่กล้าล้ำเส้นใดๆ เพราะเชื่อว่านั่นคือหนทางเดียวที่นำสู่ความดีงามและความสำเร็จ พวกนี้ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา (และจะรู้สึกผิดหากปล่อยเวลาให้อยู่ว่างๆโดยไม่ทำอะไร รวมทั้งลงโทษเฆี่ยนตีตนเองเมื่อไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานที่วางไว้)
แต่แม้จะใช้ความพยายามยิ่งยวดเพียงไรก็ตาม กระนั้นพวกเถรตรงถังแตก ก็ไม่เคยที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขความอิ่มเอมใจได้อย่างแท้จริงและเต็มที่เลยสักครั้ง เพราะพวกนี้มักจะคิดกังวลถึงปัญหาและอุปสรรคและความไม่แน่นอนต่างๆในอนาคตอยู่เกือบตลอดเวลา พวกเถรตรงและถังแตกคือพวกที่พยายามว่ายทวนต้านกระแสแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต หรือไม่ก็พยายามเกาะยึดรากไม้ริมตลิ่งอยู่อย่างแข็งขันและดื้อดึง ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามวนเวียนอยู่ในหัวว่า ทำไมชีวิตฉันถึงต้องพยายามทำอะไรบางอย่างที่เหนื่อยยากลำบากขนาดนี้ด้วย ทำไมเพียงแค่การมีชีวิตอยู่ให้ดีอย่างที่ควรจะเป็นมันถึงได้ช่างยากเย็นขนาดนี้
ในขณะที่พวก "ไม่เอาถ่านผู้มั่งคั่ง" กลับมองชีวิตต่างออกไป เปิดรับและอิ่มเอมกับทุกอณูของความสุขในชีวิตอย่างที่ไม่ต้องดิ้นรนพยายามมากเท่าพวกเถรตรงถังแตก
มุมมองอันแสนจะพิสดารกลับตาลปัตรของพวกไม่เอาถ่านผู้มั่งคั่งในหนังสือเล่มนี้ ได้สะท้อนถึงหลักการและความเชื่อต่อชีวิตและจักรวาลที่สำคัญบางอย่าง ซึ่งใครๆหลายคนอาจจะหลงลืมไป
หลักการที่่ว่านั้นก็คือ
๑. แท้จริงแล้วหลักการแห่งความมั่งคั่ง ไม่ได้เกี่ยวกับเงิน แต่มันเกี่ยวกับเวลาและชีวิต
๒. เงินเป็นสิ่งที่จักรวาลจัดสรรมาให้ เป็นการกระทำของจักรวาล และจักรวาลนี้มั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์อย่างไม่มีขีดจำกัด
หมายเหตุ เพิ่งอ่านมาได้ห้าสิบกว่าหน้า หลักการแค่สองข้อนี้คือสิ่งที่ได้รับจากห้าสิบกว่าหน้าที่ว่า (จริงๆแล้วยังมีอีกหลายข้อ แต่สองข้อนี้โดนใจมักๆ)
หลักการทั้งสองข้อเป็นสิ่งที่ฉันเชื่ออยู่ลึกๆมานานแล้ว แต่บางครั้งก็หลงทางปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามสิ่งที่สังคมบอกว่าควรจะเป็น แทนที่จะให้มันเป็นไปตามสิ่งที่ฉันต้องการจะเป็น เช่นว่า ดิ้นรนสมัครงานในองค์กรใหญ่ที่มั่นคงและมีชื่อเสียง เพื่อมีรายได้ประจำที่มั่นคง ได้รับการยอมรับ ได้รับเกียรติและชื่อเสียงจากการทำงานในองค์กรนั้นๆ และจะได้สามารถเป็นที่มาของการหาซื้อบ้านและรถ และทรัพย์สินอื่นๆที่ต้องการและอย่างได้ แต่นั่นก็ต้องแลกกับอิสรภาพ และทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้ของชีวิต แลกกับการที่จะได้มีประสบการณ์ที่ไพศาลกว่า ลึกซึ้งกว่าในการใช้ชีวิตและการทำงาน
อืม...แต่ลองมาดูกันหน่อยสิว่าฉันได้รับอะไรดีๆบ้างจากองค์กรนี้ (แทนที่จะนั่งพร่ำบ่นถึงสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ)
แน่นอนฉันได้รับสิ่งดีๆมากมายจากองค์กรนี้ ได้ทำงานกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานมีเมตตา มีจิตใจที่เปิดกว้างและรับฟัง ฉันรู้สึกขอบคุณเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นอยู่จนถึงนาทีนี้ เป็นความรู้สึกสำนึกขอบคุณต่อโอกาส มิตรภาพและน้ำใจที่ได้รับจากทุกคน
ฉันได้รับโอกาสไปเรียนต่อ ป.โท ต่างประเทศด้วยทุนทางการศึกษาที่ส่งมาให้อย่างง่ายดาย ได้รับประสบการณ์อันล้ำค่าและน่าประทับใจจากครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกัน เป็นโอกาสอันล้ำค่าและเป็นความประทับใจที่คงจะไม่มีวันลืม รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณน้ำใจจากครูและเพื่อนทุกๆคนที่ดูแลฉันเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่เรียน ขอบคุณทุกๆคนมากๆ
ฉันได้ทำงานที่มีคุณค่าและได้มอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้รับการยอมรับและการนับถือ หรือกระทั่งคำชื่นชมจากหลายคน (นั่นเป็นสิ่งที่ฉันปรารถนา) รู้สึกได้ว่าตนเองมีคุณค่าบางอย่างจากงานที่ทำ
ฉันสามารถอาศัยชื่อเสียงและความมั่นคงขององค์กรกู้เงินซื้อบ้านอย่างที่อยากจะได้ บ้านมีบริเวณสำหรับปลูกต้นไม้และทำสวน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สะอาด สงบและมีเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร
(ดูสิ ไม่ว่าฉันจะพร่ำบ่นเช่นไร ชีวิตก็มีเรื่องให้ขอบคุณได้เสมอ)
แต่กระนั้น มันก็ยังคงมีบางอย่างที่ปรารถนายิ่งไปกว่านี้ นั่นคือ
การได้ทำงานที่ฉันสามารถเป็นนายของเวลา สามารถมีเวลาที่จะทำในสิ่งที่ปรารถนา เวลาสำหรับการเดินทางพักผ่อนหรือทำงานที่รัก เวลาที่เลือกได้เองว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ ตอนไหน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตอกบัตรเข้า-ออกงานตรงเวลา การมาสาย การถูกตำหนิใดๆ ฉันต้องการงานที่ให้เวลาต่อปรับตัว และยืดหยุ่นกับความต้องการทางจิตใจและทางกาย งานที่เอื้อต่อการเติบโต และให้เสรีภาพที่จะได้เลือก
งานที่มีคุณค่าช่วยให้ผู้คนได้เติบโตและค้นพบความสุข ศักยภาพภายในตนเองได้อย่างแท้จริง และแน่นอนเป็นงานที่ฉันรักที่จะทำอย่างสุดจิตสุดใจ สนุกกับมันได้ตลอดเวลา โดยไม่คิดว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำ..." แต่คิดและรู้สึกอย่างเต็มที่ว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันรักที่จะทำ..." เมื่อเราได้สร้างสรรค์และมอบของขวัญที่เรามีให้แก่โลกใบนี้อย่างสุดใจ (passionately give our gifts/presents to the others in this world) ความมั่งคั่่งต่างๆก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองอย่างไม่สิ้น
แน่นอนฉันชมชอบความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตอย่างยิ่งยวด เพราะมันนำพาความอิ่มเอมใจบางอย่างมาให้ และมันหมายถึงการที่เราสามารถให้สิ่งที่เรามีออกไปได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับฉันแล้วการมีเงินหรือความมั่งคั่งไม่ใช่ความบาปผิดอันใด เงินและความมั่งคั่งเหล่านี้คืออุปกรณ์หรือเครื่องมือที่จักรวาลส่งมอบมาให้เพื่อให้เราสามารถใช้มันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้
ฉันเชื่ออยู่เสมอว่า เงินเป็นภาพสะท้อนถึงสภาวะจิตของเรา กระแสการเงินที่ขัดสนสะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่ขาดแคลน และขัดสน ฉันใดก็ฉันนั้น กระแสการเงินที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ก็สะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน จักรวาลจะส่งมอบเงินและความมั่งคั่งมาให้มากเท่าที่เราจะเปิดรับได้ ตามสภาวะจิตใจของเราเอง เพราะจักรวาลนั้นมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจักรวาลนั้นพร้อมที่จะให้เราอย่างเต็มที่อยู่แล้วตลอดเวลา ตลอดมา
เมื่อลองแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ยามค่ำคืน เราจะพบว่ามีดวงดาวนับแสนๆล้านๆ ดวง กระจายตัวมากมายอยู่ในจักรวาลนี้ นั่นคือทรัพย์สมบัติทั้งหมดอันประมาณมิได้ที่จักรวาลสร้างขึ้น และการสร้างนั้นดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากจะเปรียบกันแล้วโลกเป็นเพียงแค่เศษผงฝุ่นเล็กๆในจักรวาล (มนุษย์เปรียบเหมือนเชื้อไวรัสที่เกาะอาศัยเศษฝุ่นเม็ดนั้นเพื่อดำรงชีวิตอยู่--อาจจะเป็นการเปรียบที่โหดร้ายไปสักหน่อย) ที่ได้รับความรักและการดูแลอย่างไม่มีประมาณจากจักรวาลไม่แตกต่างจากดาวดวงและสรรพสิ่งอื่นใด
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเปิดรับและสัมผัสกับความมั่งคั่งและอิ่มเอมใจในชีวิตเสียที?
No comments:
Post a Comment