ตื่นมากลางดึกตอนตี ๒.๔๕
น.(ที่รู้เพราะหันไปดูนาฬิกาหัวเตียง) พร้อมๆกับความรู้สึกว่า
ไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง
และมีบางอย่างรบกวน
ได้ยินเสียงแกร่กๆๆดังต่อเนื่องซ้ำๆที่เพดาน
เงี่ยหูฟังในความมืดสักพักก็ตัดสินสรุปเอาว่าเป็นเสียงแมลงบินชนเพดาน พยายามข่มตานอนต่อ สักพักก็เคลิ้มหลับไป มีความฝันวุ่นวายเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่จำได้คือ ในฝันนั้นเรากำลังพยายามเปิดเพลงสวด CD ธรรมะให้แม่ฟัง
ก็เถียงกันในความฝันว่าจะเปิดดังหรือเบาแค่ไหน
เพราะกลัวจะรบกวนเพื่อนบ้าน
เมื่อ
CD เริ่มบรรเลงเพลงสวด ก็รู้สึกตัวว่ากลับมานอนอยู่บนเตียงที่บ้านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รู้สึกว่ามีมือสองมือมาจับที่ปลายเท้า
กุมไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น เราก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ พร้อมกับสวดมนต์ในใจ เริ่มด้วยบทอะระหังสัมมา
ต่อด้วยบทอิติปิโสสรรเสริญพระพุทธคุณ
เมื่อเริ่มสวดมนต์มือที่กุมปลายเท้าอยู่ก็เริ่มขยับ
จับปลายเท้าของเราเคลื่อนไหวหมุนวนไปมาเป็นจังหวะไปพร้อมกับบทสวด เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาฟังอยู่ ทันทีที่ได้มีความรู้สึกปิติเกิดขึ้นในขณะที่สวดนั้น ก็อุทิศบุญให้แก่ผู้ที่จับปลายเท้านั้นเอง รับรู้ได้ว่าเขาได้รับ ถามเขาในใจว่าจะให้สวดอีกรอบไหม ถ้าจะให้สวดอีกรอบช่วยขยับมือบอกให้รู้ด้วย เขาก็ขยับมือจับปลายเท้าเราโยกไปมา เราจึงเริ่มต้นสวดอีกรอบ แต่สวดไปได้ยังไม่ทันจะจบบท ก็คลายออกจากภวังค์ภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ตื่นขึ้นมาเต็มตาและยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ปลายเท้า
น้ำตาจะไหล เขามารอขอส่วนบุญ เพียงแค่การตั้งใจปฏิบัติเล็กน้อย
เช่น การสวดมนต์ก็ช่วยให้เขาได้รับส่วนบุญได้แล้ว อันที่จริงเขามา ๒-๓ วันแล้ว (รู้สึกได้) แต่เราพยายามไม่สนใจเพิกเฉยละเลย แถมยังเอาพระมาใส่ห้อยคอไว้
เพื่อป้องกันตัวอีกด้วย (ซึ่งก็ช่วยได้ในแง่ที่ทำให้หลับสบายขึ้น
ไร้ความกังวลใจในสองวันแรก)
วันนี้เขาเลยส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือแรงขึ้นเพื่อให้เรารับรู้
เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดกลัว
แต่กลับรู้สึกเห็นใจ อยากจะให้ความช่วยเหลือ
ตื่นขึ้นมาน้ำตาจะไหล อยากจะนั่งสมาธิแล้วอุทิศส่วนบุญให้ แต่ละเลยการฝึกมานาน
ใจก็ฟุ้งซ่านมากกว่าจะเป็นสมาธิ การละเลยปฏิบัติส่งผลให้ใจไม่ตั้งมั่นไม่มีกำลัง
แม้แต่บทสวดง่ายๆที่เคยสวดอยู่ประจำก็อาจหลงลืมได้(อย่างไม่น่าเชื่อ) จึงได้สวดมนต์ให้อีกรอบแบบตั้งใจ
(เปิดหนังสือสวดมนต์ด้วย)
ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเราละเลยการปฏิบัติ เพราะความขี้เกียจและรู้สึกเหนื่อยจากภาระงานประจำ
การสวดมนต์ก่อนนอนจากเดิมที่เคยสวดอย่างตั้งใจ หลังๆมานี้
ก็สักๆแต่ว่าสวดให้จบๆไปจะได้รีบนอน
เขาก็เลยมาเตือน
เหตุการณ์นี้ทำให้รับรู้ว่า
การปฏิบัติของเราไม่ได้เป็นไปเพื่อเราคนเดียว
แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่นด้วย
(ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น) การสวดมนต์ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่ได้ยินหรือรับฟัง
(แม้จะสวดอยู่ตามลำพังในห้องนอนก็ตาม) ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์จึงแนะนำว่า ให้สวดมนต์แบบออกเสียงดังฟังชัดและตั้งใจ
เพราะมีรูปนามที่เรามองไม่เห็นมาร่วมฟังด้วย เพราะเขาสวดเองไม่ได้ เขาปฏิบัติเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นการสวดมนต์และการแผ่เมตตาไม่ใช่การสักแต่ว่าทำๆ
ตามธรรมเนียม หรือเป็นแค่พิธีกรรมไร้ความหมาย
แต่การปฏิบัติเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสภาวะความเป็นอยู่
สุข-ทุกข์ของรูปนามต่างๆ (ทั้งมองเห็น-และมองไม่เห็น)
No comments:
Post a Comment