Monday, April 30, 2012

สวดมนต์อุทิศบุญ



ตื่นมากลางดึกตอนตี ๒.๔๕ น.(ที่รู้เพราะหันไปดูนาฬิกาหัวเตียง) พร้อมๆกับความรู้สึกว่า ไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง  และมีบางอย่างรบกวน  ได้ยินเสียงแกร่กๆๆดังต่อเนื่องซ้ำๆที่เพดาน  เงี่ยหูฟังในความมืดสักพักก็ตัดสินสรุปเอาว่าเป็นเสียงแมลงบินชนเพดาน  พยายามข่มตานอนต่อ  สักพักก็เคลิ้มหลับไป มีความฝันวุ่นวายเกิดขึ้น แต่สิ่งที่จำได้คือ ในฝันนั้นเรากำลังพยายามเปิดเพลงสวด CD ธรรมะให้แม่ฟัง  ก็เถียงกันในความฝันว่าจะเปิดดังหรือเบาแค่ไหน เพราะกลัวจะรบกวนเพื่อนบ้าน  

เมื่อ CD เริ่มบรรเลงเพลงสวด  ก็รู้สึกตัวว่ากลับมานอนอยู่บนเตียงที่บ้านอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้รู้สึกว่ามีมือสองมือมาจับที่ปลายเท้า กุมไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น เราก็เลยอุทิศส่วนบุญให้  พร้อมกับสวดมนต์ในใจ เริ่มด้วยบทอะระหังสัมมา ต่อด้วยบทอิติปิโสสรรเสริญพระพุทธคุณ  เมื่อเริ่มสวดมนต์มือที่กุมปลายเท้าอยู่ก็เริ่มขยับ จับปลายเท้าของเราเคลื่อนไหวหมุนวนไปมาเป็นจังหวะไปพร้อมกับบทสวด  เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาฟังอยู่  ทันทีที่ได้มีความรู้สึกปิติเกิดขึ้นในขณะที่สวดนั้น  ก็อุทิศบุญให้แก่ผู้ที่จับปลายเท้านั้นเอง  รับรู้ได้ว่าเขาได้รับ  ถามเขาในใจว่าจะให้สวดอีกรอบไหม  ถ้าจะให้สวดอีกรอบช่วยขยับมือบอกให้รู้ด้วย  เขาก็ขยับมือจับปลายเท้าเราโยกไปมา  เราจึงเริ่มต้นสวดอีกรอบ  แต่สวดไปได้ยังไม่ทันจะจบบท ก็คลายออกจากภวังค์ภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น  ตื่นขึ้นมาเต็มตาและยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ปลายเท้า 

น้ำตาจะไหล  เขามารอขอส่วนบุญ เพียงแค่การตั้งใจปฏิบัติเล็กน้อย เช่น การสวดมนต์ก็ช่วยให้เขาได้รับส่วนบุญได้แล้ว อันที่จริงเขามา ๒-๓ วันแล้ว (รู้สึกได้)  แต่เราพยายามไม่สนใจเพิกเฉยละเลย แถมยังเอาพระมาใส่ห้อยคอไว้ เพื่อป้องกันตัวอีกด้วย (ซึ่งก็ช่วยได้ในแง่ที่ทำให้หลับสบายขึ้น ไร้ความกังวลใจในสองวันแรก) วันนี้เขาเลยส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือแรงขึ้นเพื่อให้เรารับรู้ 
เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดกลัว แต่กลับรู้สึกเห็นใจ อยากจะให้ความช่วยเหลือ  ตื่นขึ้นมาน้ำตาจะไหล อยากจะนั่งสมาธิแล้วอุทิศส่วนบุญให้  แต่ละเลยการฝึกมานาน ใจก็ฟุ้งซ่านมากกว่าจะเป็นสมาธิ การละเลยปฏิบัติส่งผลให้ใจไม่ตั้งมั่นไม่มีกำลัง  แม้แต่บทสวดง่ายๆที่เคยสวดอยู่ประจำก็อาจหลงลืมได้(อย่างไม่น่าเชื่อ) จึงได้สวดมนต์ให้อีกรอบแบบตั้งใจ (เปิดหนังสือสวดมนต์ด้วย)

ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเราละเลยการปฏิบัติ  เพราะความขี้เกียจและรู้สึกเหนื่อยจากภาระงานประจำ   การสวดมนต์ก่อนนอนจากเดิมที่เคยสวดอย่างตั้งใจ  หลังๆมานี้ ก็สักๆแต่ว่าสวดให้จบๆไปจะได้รีบนอน  เขาก็เลยมาเตือน 


เหตุการณ์นี้ทำให้รับรู้ว่า  การปฏิบัติของเราไม่ได้เป็นไปเพื่อเราคนเดียว  แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่นด้วย (ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น)  การสวดมนต์ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่ได้ยินหรือรับฟัง (แม้จะสวดอยู่ตามลำพังในห้องนอนก็ตาม) ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์จึงแนะนำว่า  ให้สวดมนต์แบบออกเสียงดังฟังชัดและตั้งใจ  เพราะมีรูปนามที่เรามองไม่เห็นมาร่วมฟังด้วย  เพราะเขาสวดเองไม่ได้  เขาปฏิบัติเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นการสวดมนต์และการแผ่เมตตาไม่ใช่การสักแต่ว่าทำๆ ตามธรรมเนียม หรือเป็นแค่พิธีกรรมไร้ความหมาย   แต่การปฏิบัติเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสภาวะความเป็นอยู่ สุข-ทุกข์ของรูปนามต่างๆ (ทั้งมองเห็น-และมองไม่เห็น)

No comments:

Post a Comment