Friday, September 21, 2007

คุยกับเพื่อนเก่า: นักปีนเขา

วันนี้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่า ที่โคจรมาเจอกันอีกครั้งในรั้วสถาบันเดียวกันและได้ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อนเราทำงานที่นี่มา 5 ปีแล้ว เพิ่งได้รับตำแหน่งรองคณบดี คณะวิศวะฯ มาแบบหมาดๆ

แต่ถึงอะไรๆจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เขาก็ยังน่ารักเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ได้เจอกันเมื่อหลายปีก่อน (ตอนนั้นทำโครงการภาวนาของหมู่บ้านพลัมด้วยกัน) เขาบอกว่าเขาเป็นคนที่คุยเรื่องมีสาระได้ไม่เกิน 5 นาที (ฮ่า) เราละอยากเข้าไป sit in ในชั้นเรียนของเขาเสียนี่กระไร ท่าทางจะสนุกดี ชอบนักเชียวอาจารย์ที่พูดสาระได้ไม่เกิน 5 นาทีเนี่ย

เราคุยกันหลายเรื่อง มีทั้งเรื่องการทำงาน ความเป็นไปของสภาพชีวิต มิตรสหาย ฯลฯ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจ ก็คือ เราถามเขาว่า เขาเรียนมาทางด้านวิศวะตลอดตั้งแต่ป.ตรี แต่อะไรทำให้เขาหันมาสนใจด้านจิตวิญญาณ การพัฒนาด้านใน ชีวิตและการทำกิจกรรมเพื่อสังคมล่ะ

(ขอบอกก่อนว่าเพื่อนเราคนนี้ ตัวอยู่วิศวะก็จริง แต่ใจนะไปปฏิธรรม + ช่วยเหลือสังคมเรียบร้อยแล้ว หาตัวเขาที่คณะไม่ค่อยเจอหรอก -- เขาบอกว่ามันเป็นวิทยายุทธขั้นสูง ที่ต้องฝึกฝนอยู่สักหน่อย ---หมายถึงการหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยจากห้องทำงาน เพื่อไปทำอะไรบางอย่างที่ตนเองชอบและสนใจโดยไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อสถานะและการทำงานน่ะ)

เพื่อนบอกว่า ก็เพราะมันเกิดความทุกข์ครั้งใหญ่ในชีวิต จนแทบจะเอาตัวไม่รอด ตอนเรียน ป.เอกน่ะสิ (เขาได้ทุนไปเรียนป.เอกสาขาวิศวะฯ ที่เยอรมัน) รู้สึกท้อแท้มาก เขาเกิดคำถามหลายอย่างกับชีวิต ว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ทุกข์ทรมานด้วย? ทำไมเราต้องมาดิ้นรนไขว่คว้าปีนป่ายภูเขาสูงแบบนี้ด้วย? นอนอยู่กับบ้านเฉยๆก็ได้ ไม่สบายกว่าหรือ ? ฯลฯ"

ความทุกข์ที่ไม่อาจหาคำตอบได้จากสิ่งที่ทำอยู่ ผลักดันให้เขาหันหน้าเข้าหาการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

การปฏิบัติธรรม ทำให้เขาเห็นแง่มุมอะไรบางอย่างในชีวิต เห็นคำตอบบางประการที่เขาละเลยไป ทำให้เขาพบกับความสุขสงบภายใน เกิดการปล่อยวางมายาคติบางอย่างลงไปได้

ในที่สุดเขาก็สามารถกลับมาปีนเขาลูกนั้นได้อีกครั้ง อย่างสนุกสนานและมีความสุขมากกว่าเดิม เขาบอกว่าภูเขาลูกนั้นที่เคยดูว่าแสนจะชันนั้น มันก็เหมือนจะไม่ชันเท่าเมื่อก่อนแล้ว ในที่สุดเขาก็พิชิตเขาลูกนั้นได้ (เป็นภูเขาอีกลูกหนึ่งที่สำคัญและสุดแสนจะท้าทาย ในบรรดาเทือกเขาสูงทั้งหมด ที่เขาจะต้องเผชิญในชีวิต)

เมื่อมุมมองชีวิตเปลี่ยน สิ่งต่างๆภายนอกก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย หรือพูดในอีกแง่หนึ่งว่า เมื่อตัวเราเปลี่ยน ทุกสิ่งภายนอกก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนตามไปเองโดยธรรมชาติ (ทั้งๆที่ในสายตาของคนอื่น มันอาจจะดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย)

อันที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง/ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ได้ดีหรือเลวโดยตัวมันเอง แต่มันดี/เลวโดยการตัดสินจากมุมมองของตัวเราต่างหาก เมื่อมุมมองเปลี่ยน สิ่งที่เคยสุดแสนจะเลวร้ายในอดีต อาจกลับกลายเป็นพรอันแสนประเสริฐของชีวิตก็ได้ จากที่เคยก่นด่าประณามเหตุการณ์ต่างๆสารพัด(ที่เรารู้สึกว่ามันแสนจะเลวร้าย และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเรา) เราอาจจะกลับกลายเป็นการขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์เหล่านั้น ที่มันได้เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ได้

อาจารย์ทางธรรมของเราเคยกล่าวว่า แท้จริงไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวที่เป็นสิ่งเลวร้าย ทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปในวิถีทางของมันอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างมีเจตจำนงที่ดีงามและยิ่งใหญ่แฝงอยู่เบื้องหลัง

เมื่อไรก็ตามที่คุณภาพภายในจิตใจของเราเติบโตขึ้น เราจะสามารถมองเห็นและสามารถขอบคุณกับทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์ในชีวิตได้อย่างเบิกบาน (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูแย่หรือเลวร้ายมากมายเพียงใดในสายตาของคนอื่นๆ) เพราะเรารู้ว่าแท้จริงแล้วทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลและสมบูรณ์แบบในวิถีทางของมัน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ล้วนเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อวาระแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณของเรา ในวิถีทางอันแสนเฉพาะเจาะจงและสุดพิเศษ เพื่อตัวเราโดยเฉพาะ (เส้นทางนี้จะไม่มีวันซ้ำกับของใคร--และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ)

เพราะฉะนั้นขอให้ขอบคุณต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต (ไม่ว่ามันจะดูเลวร้ายเพียงไรก็ตาม เมื่อแรกเห็น) เพราะทุกเหตุการณ์ล้วนมีของขวัญล้ำค่าซ่อนอยู่ ยิ่งทุกข์นั้นใหญ่หลวงเพียงไร ของขวัญก็ยิ่งพิเศษเพียงนั้น

จนถึงตอนนี้ เพื่อนของเราก็ยังคงปีนเขาอยู่ อาจจะเป็นภูเขาลูกใหม่(ในเทือกเขาเดียวกัน) แต่เขาปีนด้วยความเบิกบาน และมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

ขณะเดียวกันเขาก็พบว่า แท้จริงแล้วเขายังมีเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน(แม้จะไม่มากเมื่อเทียบกับประชากรนักปีนเขาทั้งหมด) สหายเหล่านั้นล้วนปีนเขาอย่างเบิกบานเช่นกัน มันทำให้การปีนเขาสนุกขึ้นอีกมาก

อาจมีบางคนถามต่อว่า ก็แล้วทำไมต้องลำบากไปปีนเขาด้วย นอนเล่นอยู่กับบ้านไม่สบายและเบิกบานกว่าหรือ เราเองก็เคยคิด/ถามตัวเองคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน และเคยทดลองปล่อยให้ตัวเองนอนเล่นอยู่กับบ้านสบายๆมาแล้วพักใหญ่ๆ (โชคดี ที่ชีวิตยังมีทางเลือกให้นอนหยุดพักอยู่กับบ้านได้โดยไม่เดือดร้อนนัก)

และสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำแบบนั้นก็คือ เออ...จริงชีวิตโครตสบายเลย ไม่ต้องดิ้นรนเลย นอนเล่นอยู่กับบ้านแบบนี้ช่างแสนวิเศษ (เคยฝันว่าอยากจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว)

แต่ว่าพออยู่ๆไปสักพักก็พบว่า มันก็โครตน่าเบื่อมาก มันไม่ท้าทายเอาเสียเลย เราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ รู้สึกว่าทุกอย่างนิ่งและช้าลง รวมทั้งการเติบโตภายในของตนเองด้วย มันไม่เกิดการสร้างสรรค์อะไรใดๆที่ทำให้เรารู้สึกว่า ภาคภูมิใจและมีคุณค่ามากพอ ไม่เกิดความรู้สึกว่า "ใช่เลย นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น สิ่งที่ฉันทำได้ และจะทำได้ดียิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ได้อีกด้วย โอ้ ! ชีวิตช่างแสนสนุกและท้าทาย ฯลฯ"

เราคิดว่า การหยุดอยู่กับบ้านเพื่อนอนเล่นบ้างนั้นดีสำหรับการพักผ่อนเป็นระยะๆชั่วครั้งชั่วคราว คนเราควรมีวันขี้เกียจให้กับตัวเองบ้าง การได้อยู่อยู่นิ่งๆ และช้าลง เป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตเช่นกัน

แต่ถ้าจะพักตลอดไปก็คงไม่สนุก เพราะเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าบนภูเขาลูกนั้น มันมีสิ่งใดรออยู่ให้เราไปค้นพบ และจะไม่มีวันรู้เลยว่า ทัศนียภาพเบื้องล่างนี้ เมื่อมองจากบนภูเขาลูกนั้นมันจะแตกต่างไปจากเดิมเช่นไร ในที่สุดเราก็เลยกลับมาปีนเขาอีกครั้ง ภูเขาลูกนั้น...

No comments:

Post a Comment