Monday, January 25, 2010

วันเกิด rebirth rebound reconnection



25 มกราคม 53 เวลา 4:40 น.



เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยคำถามและความคิดบางอย่าง เป็นเช้าวันเกิดที่ไม่ได้แตกต่างจากทุกวัน เช้าวันธรรมดาๆอีกวันหนึ่ง คำถามและความคิดที่มีเป็นภาวะที่ต่อเนื่องจากเมื่อคืนที่เข้านอนด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ราวกับในช่วงสองปีกว่าที่ผ่านมาฉันได้แบกบางสิ่งที่หนักเอาไว้มาตลอด ไม่เคยจะได้วางมันลงจริงๆสักที มันถึงจุดที่อยากบอกกับตัวเองว่า “พอได้แล้ว พอสักที เหนื่อยมากแล้ว ขอพักสักทีเถิด” เป็นอาการของการยอมศิโรราบต่อชีวิต ในภาวะแห่งการยอมจำนนเช่นนั้น ฉันเข้านอนด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า,จักรวาลหรือธรรมะธรรมชาติว่า ขอยกงานและภาระทั้งหมดที่ลูกมีไว้ในการดูแลของจักรวาล ตอนนี้ลูกไม่สามารถแบกมันเอาไว้ได้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้วค่ะ ไม่สามารถจะทนแบกรับมันเอาไว้ได้อีกแล้ว ขอให้ท่านช่วยดูแลโอบอุ้มทั้งภาระงานและตัวลูกไว้ในตักของท่านด้วย ในภาวะแห่งการยอมจำนนนั้น ฉันรู้ดีว่ายังมีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวฉันเองที่คอยช่วยเหลือดูแลทุกสรรพชีวิตและจักรวาลนี้มาตลอดเวลา ฉันปรารถนาที่จะกลับไปเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆที่ได้ซุกตัวอย่างผ่อนคลายและได้รับการโอบกอดอย่างอบอุ่นจากพระผู้เป็นเจ้า



แม้ว่าความเชื่อเช่นนี้จะฟังดูขัดแย้งกับพื้นฐานความเชื่อเดิมของชาวพุทธ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ฉันเติบโตขึ้นมาที่เน้นให้ช่วยเหลือตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่กระนั้นความเชื่อที่ว่าเราได้รับการดูแลโอบอุ้มอยู่อย่างไม่มีเงื่อนไข และได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจากพระเจ้าหรือจักรวาลหรือพลังงานบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวฉันเองอยู่แล้วตลอดเวลานั้น ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจ ผ่อนคลาย และการได้เป็นที่รัก(ได้รับความรักและการดูแลเป็นอย่างดี) ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป



นับตั้งแต่ครูทางธรรมคนแรกได้จากไป ก็เหมือนสายสัมพันธ์ที่เคยมีต่อจักรวาลได้จางหายไปด้วย ความคิดที่ว่า ต่อไปนี้เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ต้องไม่หวังที่จะพึ่งพาใครอีกเข้ามาแทนที่ (ด้วยอาการหยิ่งทระนง) แต่แล้วความรู้สึกโดดเดี่ยวก็เข้ามาครอบงำจิตใจพร้อมกันกับความคิดเช่นนั้นอย่างเงียบๆ เหมือนกับว่าฉันได้ถูกตัดขาดจากท่อน้ำเลี้ยงทางจิตวิญญาณกระนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฉันสัมผัสได้ถึงความแห้งแล้งภายในจิตใจ ความรักและความเบิกบานที่มีต่อชีวิตและผู้คนได้เหือดหายไป เหมือนมีชีวิตเพียงเพื่ออยู่รอดไปวันๆ ในโลกอันแห้งแล้งใบนี้ ฉันดิ้นรนเพื่อที่จะพึ่งตนเองให้ได้ (ทั้งในทางโลกและในทางจิตวิญญาณ) แต่แล้วฉันก็พบว่าในตอนนี้ฉันเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรได้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ฉันปรารถนาที่จะสัมผัสกับความไว้วางใจต่อชีวิต ความผ่อนคลาย ปล่อยวางและได้รับความอบอุ่นใจที่เคยมีอีกครั้ง



ความคิดแรกที่ปรากฏในเช้าวันนี้คือ งานทางโลกนั้นไม่มีวันจบสิ้น เราต้องทำงานหนักตลอดเวลาเหมือนวัวเหมือนควายเพื่อรับใช้ร่างกายและกิเลสของเรา เพราะเมื่อดับความกระหายอย่างหนึ่ง ความกระหายอย่างใหม่ก็เกิดขึ้นตามมาทันที เมื่อดับความหิวในมื้อนี้ ความหิวในมื้อต่อไปก็รอคอยอยู่ข้างหน้า ตราบใดที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้ก็ต้องทำงานทางโลกต่อไปเพื่อรับใช้กายและใจอย่างไม่จบสิ้น เป็นความทุกข์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด



แต่งานทางธรรมนั้นมีวันสิ้นสุด มีวันจบสิ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่งานทางธรรมเสร็จสิ้น เราจะเป็นเหมือนกับบ่าวที่รู้ว่างานได้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีกิจใดที่ต้องทำอีกต่อไป เหลือเพียงการนั่งรอรับค่าแรง-รางวัลจากนายจ้าง ไม่มีความดิ้นรนทะยานอยากใดๆ ไม่มีการทำงานทางใจอีกต่อไป แม้ภาระในการดูแลกายและสังขารในทางโลกจะยังคงอยู่ ก็เป็นเพียงการดูแลไปตามหน้าที่อันควรเท่านั้น หาใช่การดูแลเพราะความทะยานอยากหรือกิเลส และเราจะได้พักลงจริงๆสักที



แต่การจะเดินทางไปจนถึงวันที่สิ้นสุดการทำงานทางธรรมนั้น หากจะเดินเพียงลำพังตามวิถีทางความเชื่อแบบพุทธที่ว่า เรามาคนเดียวก็ต้องกลับไปคนเดียว ฉันก็รู้สึกว่าฉันอ่อนล้าและโดดเดี่ยวเกินกว่าจะเดินต่อไปได้ไหว จะเป็นไรไหมหากฉันจะขอให้มีเพื่อนร่วมทางเป็นพระธรรม, พระเจ้า, พระจิตแห่งธรรมชาติ หรือจักรวาล (สุดแท้แต่ใครจะเรียกด้วยนามใด) ขอให้เราได้เดินไปด้วยกัน ฉันต้องการความอบอุ่นใจ การดูแลโอบอุ้ม การชี้นำ กำลังใจและความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขในการเดินทางครั้งนี้ เพื่อให้มีแรงและพลังที่จะก้าวเดินต่อไป เพื่อที่ว่าเส้นทางนี้จะไม่โดดเดี่ยวและแห้งแล้งเกินไป เพื่อที่ว่าฉันจะสามารถเดินทางต่อไปด้วยความรัก ความเบิกบาน ความมีชีวิตชีวาและการเกื้อกูลทั้งต่อตนเองและเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆที่กำลังแสวงหาและเดินทางอยู่เช่นกัน ฉันร้องขอน้ำพุแห่งชีวิตและจิตวิญญาณจากจักรวาล ร้องขอความรักและการโอบอุ้มดูแลอย่างอบอุ่นจากพระผู้เป็นเจ้า รอขอการชี้นำแนวทางและปัญญาจากธรรมะธรรมชาติ



ฉันก็บอกไม่ได้ว่าฉันอยู่ในกรอบความเชื่อ-ศรัทธาแบบใด หากจะให้ฉันอธิบายตัวเองก็คงจะบอกได้เพียงว่าฉันเป็นชาวพุทธที่เชื่อในการมีอยู่และการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ฉันเคารพรักและนับถือพระองค์อย่างสูงสุด ขณะเดียวกันฉันก็รักพระเยซูและซาบซึ้งกับการอุทิศชีวิตของพระองค์เพื่อรับใช้มวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่าฉันเชื่อในความมีอยู่ของพระเจ้าและพระจิตจักรวาล ฉันเชื่อว่ายังมีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าตัวเราที่ดูแลโอบอุ้มและคอยช่วยเหลือ แนะนำเส้นทางให้แก่เรา เราเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นเล็กๆในจักรวาลนี้เท่านั้น แต่เราก็เป็นเศษฝุ่นที่ได้รับการดูแลและได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจากจักรวาลเช่นเดียวกันกับสรรพสิ่งอื่นๆ ความคิด-ความเชื่อเช่นนี้ทำให้ฉันอ่อนน้อม ค้อมหัวลง อ่อนโยนกับตัวเองและผู้อื่นได้มากขึ้น มีพื้นที่ภายในที่จะรักผู้อื่นได้มากขึ้น ไม่บังอาจที่จะอหังการ ทระนง หยิ่งยะโสอีกต่อไปว่ากูทำได้ กูเก่งเพียงลำพัง เพราะทุกก้าวที่เราเดินไปล้วนได้รับการดูแลโอบอุ้มอย่างมากมายจากผู้คน สรรพสิ่ง เหตุปัจจัยมากมายหลายอย่างที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา และยิ่งไปกว่านั้นเรามีพระผู้เป็นเจ้าคอยดูแลเกื้อกูลเราอยู่ตลอดเวลาบนเส้นทางสายนี้ เราไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพียงลำพังบนโลกใบนี้ เราไม่สามารถแยกตัวและไม่อาจตัดขาดจากกันและกันได้ เราล้วนมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างแนบแน่นด้วยสายใยที่มองไม่เห็น เราทั้งผองคือพี่น้องกัน เราคือบุตรหลานแห่งจักรวาล



...จะเป็นไรไหมหากฉันจะเชื่อเช่นนี้ แม้จะดูเหมือนว่ามันคือความเชื่อนอกรีตนอกรอยไม่เข้ากับกรอบของศาสนาใดๆเอาเสียเลยก็ตาม... ก็ช่างมันเถิด...ฉันไม่มีคำอธิบายอื่นใดที่จะให้แก่ใครอีกแล้ว ป่วยการที่จะอธิบาย ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องแก้ตัว แก้ต่างหรือปกป้องตนเองอีกต่อไป ใครจะคิดจะเข้าใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราทุกคนล้วนมีเส้นทางที่ต่างกัน เรามีสิทธิเลือกต่างกันได้ และฉันเชื่อว่าทุกเส้นทางล้วนนำไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งสิ้น


...ในตอนนี้ฉันปรารถนาที่จะผ่อนคลายและปล่อยให้ตนเองได้เลื่อนไหลไปกับกระแสสายธารแห่งความรักและปัญญาของจักรวาล ไม่ปรารถนาที่จะดิ้นรนต้านทานฝ่าฝืนใดๆอีกต่อไป...ขอให้เราทั้งผองได้รับการดูแลและโอบอุ้มจากจักรวาล ขอให้หัวใจและจิตวิญญาณของเราเปิดรับและเชื่อมต่อกับความรักและปัญญาอันไร้ขอบเขตของพระผู้เป็นเจ้า...

1 comment:

  1. กำลังสงสัยว่า เราเขียนอะไรสั้นๆไม่เป็นหรือไง เขียนกี่เรื่อง ก็ย้าวยาวทุกที ไม่เห็นใจคนอ่านบ้างเลย

    ReplyDelete