จากหนังสือ "ฉันจะเล่าให้คุณฟัง" เขียนโดย ฆอร์เฆ่ บูกาย แปลโดย เพ็ญพิสาข์ ศรีวรนารถ
อย่างไรก็ตามชาวบ้านก็รักหมู่บ้าน จัตุรัสและต้นไม้ของพวกเขา ต้นไม้ที่ว่านี้คือต้นออมบูขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กลางจัตุรัสพอดิบพอดี นอกจากนี้มันยังเป็นศูนย์กลางชีวิตประจำวันของชาวบ้านอีกด้วย ทุกเย็นราวๆหนึ่งทุ่มหลังเลิกงานแล้ว ชาวบ้านทั้งชายและหญิงจะนัดพบกันที่จัตุรัสแห่งนี้ ทุกคนอาบน้ำหวีผมและแต่งตัวสวยหล่อเพื่อจะมาเดินเล่นรอบต้นออมบูสักรอบ - สองรอบ
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา คนหนุ่มสาวและพ่อแม่ของคนหนุ่มสาวต่างมาพบปะสังสรรค์กันใต้ต้นออมบูนี้ ณ ที่แห่งนั้นมีการเจรจาธุรกิจสำคัญๆ มีการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับหมู่บ้าน มีการจัดงานแต่งงาน มีพิธีรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทุกอย่างดำเนินเช่นนี้มาหลายสิบปี
วันหนึ่งสิ่งแปลกประหลาดน่าทึ่งก็เริ่มเกิดขึ้น กล่าวคือ มีกิ่งไม้เล็กๆสีเขียวแตกออกบริเวณรากด้านข้างของต้นออมบู ใบน้อยๆทั้งสองของมันชูรับแสงแดด ต้นออมบูไม่เคยแตกหน่อเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
หลังจากอารมณ์ตื่นเต้นผ่านพ้นไปมีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานเลี้ยงฉลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่คณะผู้จัดงานก็ต้องแปลกประหลาดใจเมื่อรู้ว่ามีชาวบ้านบางคนไม่ได้มาร่วมดื่มฉลอง เพราะคิดว่าหน่อที่แตกออกจะนำมาซึ่งความวุ่นวาย
หลังจากนั้นไม่กี่วันหน่อที่สองก็โผล่ขึ้น เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือนก็มีกิ่งเล็กๆสีเขียวนับรวมได้กว่ายี่สิบกิ่งแตกออกมาจากรากสีเทาของต้นออมบู
แต่แล้วความปีติยินดีของบางคน และความเพิกเฉยของคนบางกลุ่มก็คงอยู่ไม่นาน วันหนึ่งยามที่เฝ้าจัตุรัสเตือนให้ทุกคนรู้ว่าต้นออมบูเก่าแก่ต้นนี้เริ่มจะมีบางอย่างผิดปกติ ใบของมันเริ่มเหลือง เหี่ยวเฉาและร่วงหล่นลงง่ายดาย เปลือกไม้ที่เคยสมบูรณ์กลายสภาพเป็นเปลือกไม้แห้งกรอบ
คนยามวินิจฉัยว่า "ต้นออมบูกำลังป่วย มันอาจจะใกล้ตายก็ได้"
บ่ายวันนั้นเองขณะเดินเล่นในช่วงเย็น ทุกคนเริ่มถกกันถึงเรื่องนี้ บางคนเริ่มจะบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของกิ่งเล็กๆ เหล่านั้น เหตุผลของกลุ่มนี้คือ ทุกอย่างเป็นปกติดีก่อนที่พวกมันจะโผล่ออกมา
ฝ่ายกลุ่มพิทักษ์หน่อก็แย้งว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกัน หน่อที่แตกออกมาเป็นสิ่งรับประกันอนาคต หากเกิดอะไรขึ้นแก่ต้นออมบูจริงๆ
ความคิดเห็นแตกต่างนี้เป็นที่มาของการเผชิญหน้ากันของทั้งสอง คือ กลุ่มที่สนับสนุนต้นออมบู และกลุ่มที่สนับสนุนหน่อ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนับวันทั้งสองฝ่ายยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้นและห่างเหินกันมากขึ้นทุกทีๆ ครั้นกลางคืนทั้งหมดก็ตกลงจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมหมู่บ้านวันถัดไป ทั้งนี้เพื่อทุกคนจะได้ไปสงบสติอารมณ์กันเสียก่อน
แต่แล้วก็ไม่มีใครระงับอารมณ์ตนเองได้ เพราะในที่ประชุมวันถัดมา กลุ่มพิทักษ์ต้นออมบูซึ่งเป็นชื่อที่พวกเข้าตั้งขึ้นชี้แจงว่า วิธีการแก้ปัญหาคือกลับไปเป็นเหมือนเดิม หน่อที่เกิดขึ้นกำลังทำให้ต้นออมบูชรานั้นหมดแรงลงเรื่อยๆ พวกมันทำตัวเหมือนวัชพืช ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือกำจัดพวกมันเสีย
ด้านกลุ่มพิทักษ์ชีวิต ชื่อที่พวกเขาเลือกกันขึ้นมาเอง ฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยอาการตื่นตระหนก เพราะได้คิดหาหนทางแก้ปัญหามาแล้วเช่นกัน ทางออกของกลุ่มนี้คือ ตัดต้นออมบูทิ้งเพราะมันสิ้นอายุขัยแล้ว หากปล่อยไว้ก็รังแต่จะแย่งแสงแดด แย่งน้ำหน่อที่เพิ่งแตกออกมาเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปกป้องต้นออมบู เพราะแท้จริง มันก็มีสภาพไม่ต่างจากต้นไม้ที่ตายแล้ว
หลังจากเถียงกัน ลงท้ายก็จบด้วยการทะเลาะวิวาท ตะโกนด่าทอ เตะต่อยกันชุลมุน ตำรวจเข้ามาสลายเหตุวิวาทแล้วสั่งให้ทุกคนกลับบ้านไปเสีย
คืนนั้นเองกลุ่มพิทักษ์ต้นออมบูประชุมกัน ลงความเห็นว่า สถานการณ์มาถึงจุดวิกฤตแล้ว ทำอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่รับฟังเหตุผล เห็นทีต้องลงมือจัดการเสียที ว่าแล้วพวกเขาก็คว้ากรรไกร เสียม พลั่ว มุ่งหน้าไปจัดการให้รู้แล้วรู้รอด คิดว่าเมื่อหน่ออ่อนถูกทำลายสิ้นซากการเจรจาก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย
พวกเขาเดินมาถึงจัตุรัสด้วยหัวใจพองโต เมื่อเข้าใกล้ต้นออมบูก็สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังสุมฟืนรอบๆต้นไม้ ที่แท้คือกลุ่มพิทักษ์ชีวิตซึ่งกำลังจะจุดไฟเผาต้นออมบูนั่นเอง ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มทะเลาะกันอีกแต่คราวนี้มือของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความเจ็บปวดและประสงค์จะทำลาย
ระหว่างการทะเลาะวิวาทหน่อเล็กหน่อน้อยก็โดนเหยียบย่ำทำลาย ต้นออมบูก็โดนทำร้ายบริเวณลำต้นและกิ่งด้วย ลงท้ายคืนนั้นคนกว่ายี่สิบคนจากทั้งสองฝ่ายถูกหามเข้าโรงพยาบาล บาดเจ็บมากน้อยต่างกันไป
เช้าวันรุ่งขึ้นจัตุรัสดูแปลกตาเพราะกลุ่มพิทักษ์ต้นออมบูเอารั้วไปล้อมต้นไว้ มีคนสี่คนยืนถืออาวุธเฝ้าอยู่ด้วย ส่วนกลุ่มพิทักษ์ชีวิตก็ขุดหลุมรอบๆหน่อ เพื่อวางรั้วลวดหนามล้อมเพื่อป้องกันการบุกรุกทุกรูปแบบ
ชาวบ้านอื่นๆก็ย่ำแย่เช่นกัน แต่ละฝ่ายพยายามนำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองและบังคับให้ชาวบ้านเลือกข้าง ต่างหวังให้ฝ่ายตนมีผู้สนับสนุนมากกว่า ใครปกป้องต้นออมบู คือศัตรูของกลุ่มพิทักษ์ชีวิต และใครปกป้องหน่ออ่อนที่แตกออกมาก็ย่อมเกลียดกลุ่มพิทักษ์ต้นออมบูเข้าไส้
ในที่สุดทุกคนตกลงจะนำเรื่องให้ผู้พิพากษาด้านสันติภาพตัดสิน ซึ่งในเวลานั้นคือบาทหลวงของโบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ในวันอาทิตย์ถัดไป
ประชาชนซึ่งถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายโดยมีเชือกมากั้นไว้ต่างด่าทอกันไปมา เสียงตะโกนโหวกเหวกจนไม่มีใครฟังอะไรรู้เรื่อง
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ผู้เฒ่าถือไม้เท้าเดินออกมา สายตาของทั้งสองฝ่ายคอยจับจ้อง ผู้เฒ่าอายุกว่าหนึ่งร้อยปีเป็นผู้ก่อต้ังหมู่บ้านเมื่อสมัยยังเป็นหนุ่ม เป็นคนวางผังถนนหนทาง แบ่งที่ดินให้ทุกคน และแน่นอนว่าเป็นคนปลูกต้นออมบูต้นนี้ ทุกคนเคารพท่านผู้เฒ่ามาก ท่านเป็นผู้มีวาจาแหลมคมมาตลอด
ผู้เฒ่าบอกปัดแขนที่ยื่นมาช่วยพยุง และค่อยๆเดินขึ้นเวทีอย่างยากลำบาก ท่านเอ่ยว่า
"พวกโง่เอ๊ย" ท่านพูด " พวกเจ้าเรียกตัวเองว่ากลุ่มพิทักษ์ต้นออมบู กลุ่มพิทักษ์ชีวิต--ผู้พิทักษ์อย่างนั้นรึ พวกเจ้าปกป้องอะไรไม่ได้หรอก เพราะพวกเจ้าเพียงมุ่งทำร้ายคนที่คิดแตกต่างเท่านั้น"
"พวกเจ้าไม่รู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง ผิดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ" "ต้นออมบูไม่ใช่หิน มันเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั้นมันจึงมีวงจรชีวิตของมันเช่นกัน วงจรนั้นรวมถึงให้กำเนิดชีวิตใหม่เพื่อสืบต่อหน้าที่ของมัน นั่นหมายความว่ามันแตกหน่อ เพื่อต่อไปหน่อเหล่านั้นจะได้กลายเป็นต้นออมบูต้นใหม่"
"แต่หน่อเหล่านั้น พวกโง่เง่าเอ๊ย มันไม่ใช่แค่หน่อ มันมีชีวิต อยู่เองไม่ได้ดอก หากต้นออมบูตายไปชีวิตของต้นออมบูจะไม่มีความหมายอะไร หากให้กำเนิดชีวิตใหม่ไม่ได้"
"เตรียมตัวไว้ให้ดีกลุ่มพิทักษ์ชีวิต หมั่นฝึกซ้อมและเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อม ไม่ช้าก็จะถึงเวลาที่พวกเจ้าจะได้เผาบ้านซึ่งพ่อแม่ของพวกเจ้าอยู่ข้างใน อีกไม่นานพวกนั้นก็จะเริ่มแก่เฒ่า และจะเริ่มเกะกะขวางทางเดินของพวกเจ้า "
"เตรียมตัวไว้ให้ดี กลุ่มพิทักษ์ต้นออมบู ซ้อมกับหน่อพวกนี้ไปก่อน พวกเจ้าต้องเตรียมพร้อมที่จะเหยียบย่ำและฆ่าลูกๆของพวกเจ้า เมื่อพวกนั้นอยากขึ้นมาแทนที่ หรืออยากมีอำนาจเหนือกว่า"
"แล้วนี่รึที่พวกเจ้าเรียกตัวเองว่าผู้พิทักษ์ สิ่งเดียวที่พวกเจ้าต้องการคือ ทำลาย แล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่า ทำลายกันไป ทำลายกันมา พวกเจ้ากำลังทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองต้องการปกป้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดกันให้มากสักหน่อย เหลือเวลาไม่มากนักดอก"
พอกล่าวจบผู้เฒ่าก็เดินลงจากเวทีช้าๆ ตรงไปที่ประตูท่ามกลางความเงียบของทุกคน-- แล้วก็เดินจากไป...
Nature always helps a writer to learn from its elements. Nature always try to teach new lessons and a writer transform its experience into words. He can transform even silence into words. This blog taught me a lesson.ฆอ
ReplyDelete