Tuesday, May 12, 2009

ความโกรธ


๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒


ช่วงนี้พบว่าตัวเองจิตตกบ่อย (ตกมา ๒-๓ วันแล้ว) มีอาการขึ้นๆลงๆ เอาแน่ไม่ได้ แต่ออกจะไปทางขาลงมากกว่าขาขึ้น มันจะมีอาการโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด เบื่อ ซึมเศร้า เซ็ง น้อยอกน้อยใจ อึดอัดคับข้องใจอยู่เป็นพื้น สภาวะจิตขุ่นมัวมาก ถ้าพูดตามคำที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนก็ต้อง เรียกว่า ภาวะจิตเป็นอกุศล ถ้าเกิดปุบปับตายไปในตอนนี้ก็คงจะตกไปอบายภูมิเป็นแน่แท้ (เฮ้อ...โชคดีที่ยังไม่ตายเนอะ) วันนี้เลยตัดสินใจไม่ไปร่วมงานประชุมพูดคุยอะไรใดๆ กับใครทั้งสิ้น ขออยู่ทำใจดูแลตัวเองที่บ้านเงียบๆก่อนจะดีกว่า เพราะถ้าขืนไปร่วมงานอะไรกับใครเข้าในตอนนี้ก็มีหวังไปนั่งหน้าบูด หรือไม่ก็ใส่หน้ากากฉีกยิ้ม แต่ข้างในขุ่นมัว ปล่อยพลังลบๆ ส่งกระแสความสั่นสะเทือนแย่ๆ ออกไปรบกวนคนอื่นเขาเปล่าๆ ทำให้คนอื่นอาจจะพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย (ทำให้ชาวบ้านเขาเดือนร้อนโดยไม่เจตนา)

ช่วง ๓ วันนี้เลยเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังเพื่อเยียวยาตัวเอง ฟังๆไปอาการก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ จิตเริ่มมีกำลังที่จะย้อนกลับเข้ามาดูตัวเอง สังเกตตัวเองอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น จากเดิมที่ดิ้นรนทุรนทุราย ทุกข์ทรมานแบบสุดๆ ก็เริ่มดิ้นรนน้อยลง ทุกข์ทรมานน้อยลง

เราสังเกตเห็นว่า ตัวเราเองนี้เวลาโกรธจะเริ่มจากการคิดถึงคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆรอบตัวในด้านลบก่อนว่า ทำไมมันถึงต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ได้ดั่งใจฉันเลย หรือไม่ก็คิดว่า ที่ฉันต้องเป็นทุกข์แบบนี้ ก็เป็นเพราะคนนั้นเขาคิดไม่ดีกับฉันอย่างนู้นอย่างนี้ เขามองไม่เห็นคุณค่าของฉัน ไม่เห็นความดีของฉัน ฉันมันไม่มีคุณค่า ไม่มีความดีในสายตาของเขา ฯลฯ จะมีอาการรับไม่ได้เสมอเวลาที่คิดว่า มีคนอื่นคิดถึงตัวเราในด้านลบ จะรู้สึกเจ็บปวดทุรนทุราย ทั้งนี้เป็นเพราะรักตัวเองแบบผิดๆ อีโก้มันใหญ่โตมาก ใครแตะไม่ได้ พร้อมจะอาละวาดฟาดหางได้ทุกเมื่อ (น่ากลัวจริงๆ แล้วใครมันจะกล้าแตะฟะเนี่ย)

พอเราเริ่มคิดถึงอะไรก็ตามในด้านลบ ความโกรธก็เริ่มจะก่อตัว มารู้ตัวอีกทีก็อีตอนที่โกรธไปแล้วเต็มที่ อาการต่างๆ ก็เริ่มประดังประเดเข้ามาเป็นชุดๆ กล่าวคือ พอรู้ตัวว่าโกรธ ก็จะไม่พอใจตัวเองซ้ำอีกที่โกรธ เพราะคิดว่าความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี คนดีๆเขาไม่โกรธกัน(ก็เกิดอยากจะเป็นคนดีๆกับเขาขึ้นมาอีก) อยากจะหายโกรธ ยิ่งอยากหายจิตใจก็ยิ่งดิ้นทุรนทุรายเพื่อหาทางทำให้หายโกรธ พยายามคิดโน่นคิดนี่เพื่อจะหาทางดับความโกรธ แต่ว่าแทนที่จะคิดด้านบวก ไอ้เจ้าความคิดด้านลบเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆ หรือคนนั้นมันก็ดันโผล่ออกมาเสียเป็นส่วนใหญ่(โดยอัตโนมัติ) ยิ่งคิดมันก็เลยยิ่งโกรธ ยิ่งโกรธก็ยิ่งอยากหาย ยิ่งอยากหายก็ยิ่งดิ้นรนจะทำให้หาย ยิ่งดิ้นรนจะทำให้หายก็ยิ่งทุกข์ เกิดเป็นวงจรอุบาทว์อันไม่รู้จบภายในจิตใจ (ถ้าจะว่ากันอีกสำนวนก็คงต้องบอกว่า วงล้อปฏิจจสมปบาทหมุนจี๋ ดูกันไม่ทันเลยทีเดียว) โหย...พอถึงจุดหนึ่งมันทุกข์สุดๆ จนต้องร้องไห้ออกมาเลย คือมันต้องหาทางระบายออกไง (การร้องไห้เป็นการช่วยระบายได้ทางหนึ่งในภาวะที่ไม่รู้จะทำไงดีแล้ว) โครตทุกข์ทรมานเลย

พอได้ร้องไห้แล้วมันก็ชักจะเริ่มได้สติ ก็เลยไปเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟัง แค่ได้ยินเสียงหลวงพ่อก็รู้สึกว่าใจมันเริ่มนิ่ง ย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างเป็นกลางได้มากขึ้น ก็เห็นวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง อ้อ! ที่ฉันทุกข์จะเป็นจะตายเมื่อตะกี้น่ะ มันเป็นเพราะจิตมันเผลอไปคิด แล้วก็เผลอโกรธ เท่านั้นยังไม่พอจิตมันยังเผลอไม่ชอบความโกรธ พยายามดิ้นรนจะผลักความโกรธออกไป (อีตรงนี้แหละที่ทุกข์หนัก) จิตไม่เป็นกลางต่อความโกรธนั่นเอง พอจิตเริ่มมีสติเริ่มดูมันเฉยๆแบบเป็นกลาง อยู่ดีๆ สักประเดี๋ยวความโกรธมันก็หายไปเอง แต่ถ้าเราไปเผลอคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธใหม่ เดี๋ยวมันก็กลับมาอีก เออแน่ะ ชักจะเริ่มเข้าใจ(จากประสบการณ์ตรง)ว่าจิตใจมันทำงานแบบนี้เอง แหม แต่กว่าจะเข้าใจก็เล่นเอาทุกข์แทบตายกันเลยทีเดียว

ตอนนี้เราเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมหลายๆครั้งที่รู้ตัวว่าโกรธแล้ว ความโกรธมันยังไม่หายไป ยังคงโกรธอยู่หรือไม่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้รับรู้มันอย่างเป็นกลาง เราใส่คำตัดสินให้โทษ-ให้คุณ ชอบ-ไม่ชอบลงไปในการรับรู้นั้นด้วย เพราะฉะนั้นรู้อย่างเดียวก็ยังไม่พอ แต่ต้องมีสติพอ(จิตใจตั้งมั่นและมีกำลังพอ) ที่จะรับรู้และเฝ้ามองดูมันอย่างเป็นกลางด้วย

หลวงพ่อปราโมทย์สอนว่า ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสภาวะธรรมที่มาสอนเราได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ โกรธ อิจฉา ดีใจ เสียใจ เพียงแต่เรามักจะหลงไปไม่รับรู้ว่านี่คือสภาวะธรรม เราจึงไม่ยินยอมเปิดรับให้ธรรมะเข้ามาทำงานกับตัวเรา ทั้งยังหาทางปฏิเสธ ผลักไสและบ่ายเบี่ยง หรือไม่ก็พยายามควบคุมดัดแปลงมันให้ได้ดั่งใจ (พวกติดดีก็อาจจะวางมาดเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดี พยายามแก้ไข ควบคุมสภาวะที่เกิดขึ้น) ส่วนคนทั่วไปก็อาจคิดไปว่าชาตินี้คงไม่มีทางเข้าถึงธรรมเพราะเข้าใจไปว่าสภาวะธรรมคือ สภาวะที่ใจสะอาด สว่าง สงบ เท่านั้น ซึ่งยากที่จะเข้าถึงสำหรับคนธรรมดาๆ

เมื่อได้มาฟังคำสอนของหลวงพ่อทำให้เราได้เข้าใจว่า อ้อ แท้จริงแล้วสภาวะธรรมนี้มันเป็นเรื่องโครตใกล้ตัวเลย มันเกิดขึ้นอยู่กับกายกับใจของเราทุกๆวันเลยทีเดียว เพราะธรรมะคือ ธรรมชาติ และในความเป็นธรรมชาตินั้นก็คือความเป็นธรรมดานั่นเอง หลวงพ่อบอกว่า กายนี้ใจนี้ของมนุษย์ธรรมดาๆแหละที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาธรรมะ เพราะกายกับใจก็เป็นธรรมชาติ เป็นของธรรมดา เป็นรูปธรรม นามธรรม ที่เกิด-ดับ อยู่กับเราตลอดเวลา ถ้าจะเอากันเข้าจริงๆ เราทุกคนล้วนมีโอกาสฝึกฝนปฏิบัติธรรมกันได้ทุกวัน ทุกๆนาที และการปฏิบัติที่ว่าไม่ใช่การพยายามที่จะเข้าไปควบคุม หรือดิ้นรนดัดแปลงกายกับใจ (ก็อย่างที่บอก ยิ่งดิ้นรนจะทำ มันก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเครียด ยิ่งพยายามทำยิ่งพยายามดัดแปลงมันก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นธรรมดาและความเป็นธรรมชาติ--ตูทำมาแล้วทั้งน้าน) แต่การปฏิบัติธรรมคือ การเฝ้าสังเกตดู ทำความรู้จักกับกายกับใจอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ ตามธรรมดานั่นเอง

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ ชักจะเริ่มรู้สึกขอบคุณความโกรธที่เกิดขึ้นกับตัวเองเสียแล้ว ขอบคุณที่มาสอนให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังต้องสารภาพตามตรงว่า ลึกๆแล้วเราก็ยังไม่ชอบความโกรธอยู่ดี คือมันยังรู้สึกแหยงๆ กับความโกรธน่ะ เพราะว่าเวลาโกรธแล้วมันทุกข์ แล้วไอ้ตัวเราก็ไม่อยากทุกข์ อยากจะสุขอย่างเดียวไง (แต่ที่ตลกคือ เราพบว่า ยิ่งอยากสุขมากเท่าไร มันก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น) ใจมันยังไม่เป็นกลางอย่างแท้จริงนั่นเอง ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร รู้ว่าตัวเองไม่เป็นกลางก็ดีแล้ว ก็ตามรู้ตามดูกันต่อไปตามสภาวะที่ปรากฎ รู้ทันเมื่อไรใจก็คงจะเป็นกลางขึ้นมาได้เองเข้าสักวันกระมัง

No comments:

Post a Comment