Tuesday, May 12, 2009

ใจพร่อง


๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ใจที่พร่องกับการงานแห่งชีวิต

จากปรากฎการณ์ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง (จากเรื่องความโกรธ) เราพบว่าแท้จริงแล้ว เราเป็นคนที่ใจยังพร่องอยู่มาก สภาวะจิตไม่สมดุล ข้างในยังกลวงโบ๋ ยังมีความอยากและดิ้นรนอย่างไม่รู้จบ สรุปก็คือ ยังหาสันติภายในให้แก่ตัวเองยังไม่ได้เลย มันจึงเกิดคำถามกับตัวเองว่า แล้วไอ้คนที่ใจพร่อง ใจยังแห้งแล้ง เติมไม่เต็ม ไม่ปกติอย่างเราเนี่ย มันจะไปสร้างสันติให้แก่โลกได้ยังไงว้า ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังสร้างสันติภายในให้กับตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะไปสร้างสันติภาพให้กับสังคม ให้กับโลก พูดไปก็อายปาก ชักจะเกิดความละอายไม่กล้าบอกใครเสียแล้ว ว่าทำงานด้านสันติวิธี เพราะกฎธรรมชาติมีอยู่ว่า “เราจะให้สิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสิ่งนั้น”


ตอนนี้ก็เลยกำลังพยายามจะมองให้ชัดๆ ว่าจริงๆแล้วเราต้องการอะไรแล้วเราจะไปสู่จุดนั้นได้ไง เป้าหมายชีวิตข้อหนึ่งที่มีมานานแล้วก็คือ เราอยากจะรักเพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างไม่มีประมาณ เป็นความรักแบบเดียวที่จักรวาลรักมนุษย์ทุกคน รักเขาอย่างที่เขาเป็น และมองเห็นภาวะแห่งจิตประภัสสรในตัวเขาได้ตลอดเวลา (แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม) สามารถมองเห็นพระผู้เป็นเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่ดำรงอยู่ภายในจิตใจของเขาได้อย่างแท้จริง เราคิดว่าหากเราสามารถรักมนุษย์ทุกคนได้อย่างนี้ เราคงจะมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว เราคงจะสามารถอุทิศตัวเพื่อทำงานรับใช้ผู้คนได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อย่างเบิกบาน เพราะว่ามันเป็นการทำงานด้วยความรัก เป็นทำงานเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า รับใช้ธรรมะ หรือรับใช้จักรวาลนั่นเอง


เป้าหมายอีกข้อก็คือ เราอยากจะช่วยให้ผู้คนได้ค้นพบความสุขที่แท้ภายในตัวเขา ทำให้เขาได้ตื่นขึ้นมาเพื่อค้นพบน้ำพุแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเขาได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงหรือพึ่งพาสิ่งอื่นใดนอกกาย อยากจะให้ทุกคนได้กลับบ้านที่แท้จริง ค้นพบบ้านที่แท้จริงภายในตัวเอง กลับคืนสู่สภาวะของความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ชาติจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้)

แต่ในภาวะที่จิตใจของเรายังพร่องอยู่อย่างนี้ อย่าว่าแต่จะช่วยคนอื่นเลย ช่วยตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง แล้วจะทำยังไงดีละทีนี้


เท่าที่นึกได้ตอนนี้เราคิดว่า เราคงต้องการพื้นที่และเวลาที่จะสร้างสมดุลให้กับใจ เพราะว่าจิตใจเรามันอ่อนแอไม่มีกำลัง ไม่เข้มแข็งเอาเลย การทำงานประจำทุกวันแบบเต็มเวลาอย่างที่เป็นอยู่นี้ ทำให้เรารู้สึกเครียดและไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้
สำหรับเราเพียงแค่การต้องไปตอกบัตรเข้า-ออกงาน ตรงตามเวลาเช้า-เย็น มันก็สร้างความตึงเครียดให้ชีวิตมากพอแล้ว แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำเอาเส้นประสาทตึงเขม็งแล้ว (อาจจะฟังดูบ้ามาก หรือเพี้ยนมากสำหรับคนอื่น แต่ว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ) เพราะสำหรับเรา การตอกบัตรลงเวลาเข้า-ออกงาน มันเป็นสัญลักษณ์ของการคุมขัง การกดขี่(ทั้งในเชิงโครงสร้าง + วัฒนธรรม) การไม่ไว้วางใจในความเป็นมนุษย์ ในศักยภาพและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของมนุษย์ มันเป็นการพยายามควบคุมและการจำกัดเสรีภาพของมนุษย์อย่างเลวร้ายที่สุด (และแน่นอนมันไม่ผิดกฎหมายอีกตะหาก) เสรีภาพ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ มันคือคุณภาพที่จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนต้องการ


เราต้องการงานให้สามารถให้เวลาที่อิสระกับตนเอง เวลาที่ยืดหยุ่น มีเวลาว่างมากพอที่จะใช้เยียวยาตัวเองได้ พัฒนาตัวเองให้เติบโต เข้มแข็งและสมดุลกว่านี้ได้ เป็นงานที่สร้างประโยชน์ให้กับโลกให้กับเพื่อนมนุษย์ งานที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมๆกันอย่างสมดุล ไม่ใช่วันๆก็หัวหมุน หัวปั่น จมอยู่กับงานอะไรบางอย่างที่ทำไปเพียงเพื่อเอาชีวิตรอด จนไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมาหายใจ ไม่มีมาดูแลรักษาชีวิตภายใน จนทำให้ขาดชีวิตสมดุลแล้วก็ผุพัง และแก่ตายไปอย่างผุพังในที่สุด ทิ้งไว้แต่ผลงานที่ผุๆพังๆ ขาดๆเกินๆ ตามสภาวะจิตใจของคนทำงานที่ผุพังและขาดๆเกินๆ เราไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ต้องการสร้างผลงานแบบนั้น จักรวาลสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น จักรวาลควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดตอบแทนกลับคืนไป เพราะโอกาสและชีวิตที่เราได้รับมอบมาจากจักรวาลมันเป็นของขวัญล้ำค่าเกินกว่าจะแลก/ตอบแทนด้วยผลงานเห่ยๆหรือการใช้ชีวิตแบบเห่ยๆอย่างที่เราเป็นอยู่

ขอให้เราได้มีหัวใจที่เต็ม (จนล้นออกไปให้คนอื่นได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น) และได้เติบโตทางจิตวิญญาณอย่างสมดุล

No comments:

Post a Comment