Wednesday, August 8, 2007

Life Coaching


เพิ่งเสร็จจากการเข้าร่วมอบรม Life Coaching เมื่อเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา (อบรมสามวัน)

มีวิทยากรรับเชิญ คือคุณฮิเดะ และคุณแพทริก (ไม่คิดค่าตัว แต่มาช่วยอบรมให้เป็นการกุศลสำหรับองค์กรพัฒนาเอกชน และคนที่ทำงานเพื่อสังคม) มีผู้เข้าร่วมในแวดวงคนทำงานเพื่อสังคม ที่ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีทั้งนั้นรวม 28 คน บรรยากาศเหมือนงานรวมญาติยังไงอย่างงั้นเลย (ชอบจัง)

Life Coaching คือกระบวนการในการสร้างภาวะผู้นำ และการมอบพลังอำนาจให้แก่ผู้อื่น ในการตัดสินใจและก้าวต่อไปข้างหน้าบนเส้นทางชีวิตของตนเอง โดยผ่านการพูดคุยและการตั้งคำถาม มันเป็นทักษะและกระบวนการที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในบริบทของธุรกิจ การทำงาน ชุมชนและชีวิตส่วนตัว ตอนนี้กำลังเป็นอีกกระแสที่มาแรงในหลายๆประเทศทั่วโลก

Life Coaching แตกต่างจาก Counselling ตรงที่ว่าเราไม่ได้พยายามเข้าไปแก้ปัญหาชีวิตให้ใคร และเราไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของผู้มารับการCoach เพราะ Life Coaching มีความเชื่อพื้นฐานข้อนึงว่าทุกคนมีสติปัญญา และมีความสามารถเพียงพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง และทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าปัญหาของตนคืออะไร อำนาจในการตัดสินใจเลือกจะอยู่ในมือของผู้รับบริการ ผู้ Coach เพียงแต่ช่วยตั้งคำถาม เพื่อให้เขาได้มองเห็นมุมมองใหม ่และความเป็นไปได้อื่นๆในชีวิตของเขา นอกเหนือไปจากการจมปลักวนเวียนอยู่กับปัญหาของตัวเอง รวมทั้งหนุนเสริมให้กำลังใจต่อความเป็นไปได้เหล่านั้น

สิ่งที่รู้สึกชอบมากในการอบรมครั้งน ี้คือเขาจะเน้นให้ฝึกปฏิบัติมากกว่าที่จะมานั่งท่องจำทฤษฎี จำได้ว่าพอเข้าอบรมวันแรก ก็เริ่มต้นด้วยกิจกรรมปฏิบัติการกันเลย ด้วยการให้เราแต่ละคนเดินไปถามเพื่อนๆในห้องว่า "ความฝันในชีวิตของคุณคืออะไร?" ถามและฟังคำตอบจากเพื่อนแต่ละคนให้ได้มากที่สุดในเวลาสิบนาที พอครบเวลาสิบนาทีวิทยากรก็บอกว่าคุณได้เริ่มต้นทำการ Coaching ไปแล้วนะ รู้หรือเปล่า แล้วก็มาสรุปบทเรียนกัน

ในกระบวนการอบรมสามวัน วิทยากรช่วยให้เราได้ฝึกทักษะต่างๆมากมาย (ที่นำไปใช้กับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ด้วย) ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามทรงพลัง การสะท้อนความเห็น การฟันธง การท้าทาย การอุปมาอุปไมย การให้กำลัง และที่สำคัญคือฝึกการฟังสามระดับ (อันนี้ดีมากๆ มีประโยชน์) อันได้แก่

การฟังระดับ 1 คือการฟังเสียงความคิด-ความรู้สึกของตนเอง (ผู้ฝึกโค้ชมือใหม่มักติดอยู่ที่ระดับนี้ คือ มัวแต่คิดว่าเดี๋ยวจะถามอะไรดี ถามแบบนี้ดีไหม เรื่องนี้ตรงกับเรื่องของตัวฉันเลย ตะกี้ที่ฉันพูดไปไม่เข้าท่าเลย ฯลฯ) การฟังระดับนี้เป็นระดับที่คนทั่วๆไปฟังกัน ผู้มารับบริการก็มักจะฟังอยู่ในระดับนี้

การฟังระดับที่ 2 คือการฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ใส่ใจ โดยไม่สนใจกับสิ่งอื่นรอบข้าง หรือแม้แต่เสียงความคิดของตนเอง ประดุจว่าเรากำลังฟังคนรักของเรา (ในช่วงรักกันใหม่ๆ--เพราะถ้ารักกันไปนานๆแล้ว ก็มักจะฟังแบบนี้ไม่ค่อยได้แล้ว ฮา) เวลาผ่านไปนานเท่าไร ฝนจะตก แดดจะออกก็ไม่รู้ไม่ใส่ใจ รู้แต่ว่าเราดำรงอยู่ตรงนี้เพื่อฟังเขาเท่านั้น

การฟังระดับที่ 3 คือ การฟังแบบใช้ญาณทัศนะ ฟังภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงาน ความรู้สึก ความสั่นสะเทือนของบรรยากาศรอบๆตัว รับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆตัว ฟังไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะเรื่องที่ผู้รับบริการพูดเท่านั้น แต่สามารถฟัง-ได้ยินในสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาได้อีกด้วย

ผู้โค้ชระดับเซียนจะต้องพัฒนาตนเองให้ฝึกฟังได้ในระดับที่ 2 และ 3 นี้ (ยากมากแต่สำคัญมาก)

อีกทักษะที่ชอบคือการฝึกตั้งคำถามทรงพลัง คือการตั้งคำถามปลายเปิดที่กระชับ สั้น ตรงประเด็น และเป็นคำถามเชิงบวก เช่น แทนที่จะถามผู้รับบริการว่า "ทำไมคุณไม่ทำสิ่งที่คุณตั้งใจ" ก็ถามว่า "คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการที่คุณไม่ได้ทำในสิ่งที่คุณตั้งใจ" เป็นไงล่ะ--แค่เปลี่ยนวิธีการถาม ก็พลิกมุมมองชีวิตของผู้ตอบได้เลย (เจ๋งเนอะ)

วิทยากรทั้งคู่รับ-ส่งลูกกันได้เนียนมาก และมีพลังกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา น่าชมเชย และมีความเชี่ยวชาญไหลลื่นมาก ในการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้อย่างเป็นระบบ และเข้าใจง่าย ข้อดีอีกอย่างคือเขารักษาเวลาได้ดีมีวินัยในเรื่องนี่สูงมาก...น่าเอาอย่าง

งานนี้ต้องขอบคุณพี่อ้อยและทีมอาศรมวงศ์สนิทอย่างยิ่ง ที่ทำให้เราและผู้เข้าร่วมคนอื่นๆได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับ Life Coaching ในราคามิตรภาพ (ช่วยกันบริจาคค่าของว่าง อาหาร ค่าห้องประชุมคนละ 500 บาท) เพราะปกติถ้าสมัครไปเรียนวิชานี้ที่ London รู้สึกว่าต้องเสียค่าเรียนคนละประมาณ 700 ปอนด์ (ราวสี่หมื่นกว่าบาท-- โอ้พระเจ้าจอร์จ อะไรจะแพงปานนั้น)

1 comment:

  1. กำลังสนใจมากเรื่องนี้ ปี 2555 จะมีการเปิดอบรมเมื่อไหร่สนใจมากๆ เลยคะ

    ReplyDelete