
เพิ่งเสร็จจากการเข้าร่วมอบรม Life Coaching เมื่อเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา (อบรมสามวัน)
มีวิทยากรรับเชิญ คือคุณฮิเดะ และคุณแพทริก (ไม่คิดค่าตัว แต่มาช่วยอบรมให้เป็นการกุศลสำหรับองค์กรพัฒนาเอกชน และคนที่ทำงานเพื่อสังคม) มีผู้เข้าร่วมในแวดวงคนทำงานเพื่อสังคม ที่ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีทั้งนั้นรวม 28 คน บรรยากาศเหมือนงานรวมญาติยังไงอย่างงั้นเลย (ชอบจัง)
Life Coaching คือกระบวนการในการสร้างภาวะผู้นำ และการมอบพลังอำนาจให้แก่ผู้อื่น ในการตัดสินใจและก้าวต่อไปข้างหน้าบนเส้นทางชีวิตของตนเอง โดยผ่านการพูดคุยและการตั้งคำถาม มันเป็นทักษะและกระบวนการที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในบริบทของธุรกิจ การทำงาน ชุมชนและชีวิตส่วนตัว ตอนนี้กำลังเป็นอีกกระแสที่มาแรงในหลายๆประเทศทั่วโลก
Life Coaching แตกต่างจาก Counselling ตรงที่ว่าเราไม่ได้พยายามเข้าไปแก้ปัญหาชีวิตให้ใคร และเราไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของผู้มารับการCoach เพราะ Life Coaching มีความเชื่อพื้นฐานข้อนึงว่าทุกคนมีสติปัญญา และมีความสามารถเพียงพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง และทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าปัญหาของตนคืออะไร อำนาจในการตัดสินใจเลือกจะอยู่ในมือของผู้รับบริการ ผู้ Coach เพียงแต่ช่วยตั้งคำถาม เพื่อให้เขาได้มองเห็นมุมมองใหม ่และความเป็นไปได้อื่นๆในชีวิตของเขา นอกเหนือไปจากการจมปลักวนเวียนอยู่กับปัญหาของตัวเอง รวมทั้งหนุนเสริมให้กำลังใจต่อความเป็นไปได้เหล่านั้น
สิ่งที่รู้สึกชอบมากในการอบรมครั้งน ี้คือเขาจะเน้นให้ฝึกปฏิบัติมากกว่าที่จะมานั่งท่องจำทฤษฎี จำได้ว่าพอเข้าอบรมวันแรก ก็เริ่มต้นด้วยกิจกรรมปฏิบัติการกันเลย ด้วยการให้เราแต่ละคนเดินไปถามเพื่อนๆในห้องว่า "ความฝันในชีวิตของคุณคืออะไร?" ถามและฟังคำตอบจากเพื่อนแต่ละคนให้ได้มากที่สุดในเวลาสิบนาที พอครบเวลาสิบนาทีวิทยากรก็บอกว่าคุณได้เริ่มต้นทำการ Coaching ไปแล้วนะ รู้หรือเปล่า แล้วก็มาสรุปบทเรียนกัน
ในกระบวนการอบรมสามวัน วิทยากรช่วยให้เราได้ฝึกทักษะต่างๆมากมาย (ที่นำไปใช้กับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ด้วย) ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามทรงพลัง การสะท้อนความเห็น การฟันธง การท้าทาย การอุปมาอุปไมย การให้กำลัง และที่สำคัญคือฝึกการฟังสามระดับ (อันนี้ดีมากๆ มีประโยชน์) อันได้แก่
การฟังระดับ 1 คือการฟังเสียงความคิด-ความรู้สึกของตนเอง (ผู้ฝึกโค้ชมือใหม่มักติดอยู่ที่ระดับนี้ คือ มัวแต่คิดว่าเดี๋ยวจะถามอะไรดี ถามแบบนี้ดีไหม เรื่องนี้ตรงกับเรื่องของตัวฉันเลย ตะกี้ที่ฉันพูดไปไม่เข้าท่าเลย ฯลฯ) การฟังระดับนี้เป็นระดับที่คนทั่วๆไปฟังกัน ผู้มารับบริการก็มักจะฟังอยู่ในระดับนี้
การฟังระดับที่ 2 คือการฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ใส่ใจ โดยไม่สนใจกับสิ่งอื่นรอบข้าง หรือแม้แต่เสียงความคิดของตนเอง ประดุจว่าเรากำลังฟังคนรักของเรา (ในช่วงรักกันใหม่ๆ--เพราะถ้ารักกันไปนานๆแล้ว ก็มักจะฟังแบบนี้ไม่ค่อยได้แล้ว ฮา) เวลาผ่านไปนานเท่าไร ฝนจะตก แดดจะออกก็ไม่รู้ไม่ใส่ใจ รู้แต่ว่าเราดำรงอยู่ตรงนี้เพื่อฟังเขาเท่านั้น
การฟังระดับที่ 3 คือ การฟังแบบใช้ญาณทัศนะ ฟังภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงาน ความรู้สึก ความสั่นสะเทือนของบรรยากาศรอบๆตัว รับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆตัว ฟังไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะเรื่องที่ผู้รับบริการพูดเท่านั้น แต่สามารถฟัง-ได้ยินในสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาได้อีกด้วย
ผู้โค้ชระดับเซียนจะต้องพัฒนาตนเองให้ฝึกฟังได้ในระดับที่ 2 และ 3 นี้ (ยากมากแต่สำคัญมาก)
อีกทักษะที่ชอบคือการฝึกตั้งคำถามทรงพลัง คือการตั้งคำถามปลายเปิดที่กระชับ สั้น ตรงประเด็น และเป็นคำถามเชิงบวก เช่น แทนที่จะถามผู้รับบริการว่า "ทำไมคุณไม่ทำสิ่งที่คุณตั้งใจ" ก็ถามว่า "คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการที่คุณไม่ได้ทำในสิ่งที่คุณตั้งใจ" เป็นไงล่ะ--แค่เปลี่ยนวิธีการถาม ก็พลิกมุมมองชีวิตของผู้ตอบได้เลย (เจ๋งเนอะ)
วิทยากรทั้งคู่รับ-ส่งลูกกันได้เนียนมาก และมีพลังกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา น่าชมเชย และมีความเชี่ยวชาญไหลลื่นมาก ในการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้อย่างเป็นระบบ และเข้าใจง่าย ข้อดีอีกอย่างคือเขารักษาเวลาได้ดีมีวินัยในเรื่องนี่สูงมาก...น่าเอาอย่าง
งานนี้ต้องขอบคุณพี่อ้อยและทีมอาศรมวงศ์สนิทอย่างยิ่ง ที่ทำให้เราและผู้เข้าร่วมคนอื่นๆได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับ Life Coaching ในราคามิตรภาพ (ช่วยกันบริจาคค่าของว่าง อาหาร ค่าห้องประชุมคนละ 500 บาท) เพราะปกติถ้าสมัครไปเรียนวิชานี้ที่ London รู้สึกว่าต้องเสียค่าเรียนคนละประมาณ 700 ปอนด์ (ราวสี่หมื่นกว่าบาท-- โอ้พระเจ้าจอร์จ อะไรจะแพงปานนั้น)
กำลังสนใจมากเรื่องนี้ ปี 2555 จะมีการเปิดอบรมเมื่อไหร่สนใจมากๆ เลยคะ
ReplyDelete