มีเรื่องอยากเขียนเยอะแต่ขี้เกียจจัง ดึกแล้วด้วย แต่ยังอุตส่าห์พยายามทำเป็นขยันเข้ามาเปลี่ยนหน้าตาบล็อก จะได้ดูเหมือนว่าเราใส่ใจไม่ได้ทอดทิ้งไง ราวกับจะเป็น web admin ที่ดีกระนั้น ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการเล่นโปรแกรม photoshop cs ทดลองนู่นนี่ แล้วก็เที่ยวไปหาภาพสวยๆฟรีๆ ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ หากใครสนใจแนะนำให้เข้าไปชมภาพสวยๆได้ที่ www.sxc.hu รูปสวยๆเพียบเลย
งานเว็บไซต์ที่ได้รับมอบหมายมายังไม่ไปถึงไหนเลย มัวแต่ออกแบบอยู่นั่นแหละ ประกอบกับมีเหตุให้ติดขัดนู่นนี่เป็นระยะๆ บางครั้งเราก็คงต้องเรียนรู้ที่จะหยุดพักเพื่อลับมีดให้คมนะ แต่รู้สึกว่าอาจจะพักยาวไปหน่อยแล้วกระมัง เอ้า จงสู้ต่อไปอย่ายอมแพ้!
Tuesday, June 26, 2007
Sunday, June 17, 2007
Multiply.com
เมื่อหลายวันก่อนได้รับเทียบเชิญ (อีเมล)จากน้องเจี๊ยบ (รุ่นน้องสมัยเรียนป.ตรี)ให้ไปเยี่ยมเว็บของเขาที่ multiply.com เราก็ลองคลิ๊กเข้าไปดู เพราะไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วออกจะแปลกใจหน่อยๆที่ได้รับเมลจากน้องเจี๊ยบ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าน้องเป็นไงบ้างกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ปรากฎว่าก่อนจะดูได้ต้องลงทะเบียนกันซะก่อน เราก็ทำตามไปแบบ เออๆเอาไงก็เอากัน ไปๆมาๆก็เลยได้กลายเป็นสมาชิกของ multiply ไปเฉยเลย แบบไม่คาดฝัน ตอนแรกที่รู้ก็มีอาการประมาณว่าอ้าว เอ๊ะ เออน่ะ อืม...มันก็ดูน่าสนุกดี ทดลองคลิ๊กไปคลิ๊กมา กดนู่นนี่มั่วๆเอา ก็เลยกลายเป็นว่าเรามีหน้าเว็บไซต์เป็นของตัวเองด้วยที่ http://athitha.multiply.com ฮะๆแบบไม่คาดฝัน (อีกที) ก็ยังงงๆอยู่ว่านี่ฉันกลายเป็นสาว cyberspace ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แค่มีบล็อกยังไม่พอ เดี๋ยวนี้หัดมีเว็บเพจส่วนตัวกะเขาด้วย แต่มันก็เป็นไปแล้ว
แต่ก็ดีเพราะที่ multiply สามารถเก็บรูปได้เยอะประมาณว่าสร้างอัลบั้มภาพได้ มีfunction ให้เล่นได้หลากหลายคล้ายๆspaces ของ hotmail แต่ว่าดีกว่าตรงที่มันเร็วกว่า แล้วก็ดูง่ายกว่ากันเยอะ ก็เลยอัพโหลดรูปเก่าๆบางรูปที่เก็บไว้ในคอมพ์ มาเก็บไว้ในเว็บด้วย
เอาเป็นว่าตอนนี้มีภาระเพิ่มขึ้นในทาง...อืม...ทางอะไรหว่า...ทางใจก็แล้วกัน ที่จะต้องหาหนทางเข้ามาอัพเดตเว็บและบล็อกของตนเองเป็นระยะๆ จริงๆก็ไม่เชิงว่าเป็นภาระหรอก แหมก็ออกจะเต็มใจปานนี้ รู้สึกว่าสนุกดีที่ได้เขียน ไม่รู้ว่านี่เป็นอาการของคนที่หาคนเป็นๆคุยด้วยไม่ได้ แล้วต้องหาทางระบายออกกับสาธารณชนผ่าน cyberspace หรือเปล่า ฮ่ะๆสงสัยถ้าจะจริง
แต่รู้สึกว่าการเขียน blog กับการเขียนไดอารี่ในสมุดมันต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งทางด้านอารมณ์และเนื้อหาที่อยากเล่า เพราะว่า blog เผยแพร่ความคิดของเราออกไปข้างนอกด้วย ใครๆก็เข้ามาอ่านได้ (ถ้าเขาอยากจะอ่านหรือ หากมีใครบังเอิญพลัดหลงทางผ่านมา) เราก็เลยจะมีการไตร่ตรองและใช้วิจารณญาณมากขึ้นว่าจะเขียนอะไร (แหม ฟังดูดีมีสาระแฮะ)มันจึงไม่ใช่แค่การเขียนระบายอารมณ์ และเวลาเขียนมันจะมีอาการสนุกมากกว่าหดหู่(เท่าที่สังเกตดูตัวเองที่ผ่านมา) เพราะรู้สึกว่าเรากำลังคุยกับเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย (ที่มองไม่เห็น) หรือหากมองอีกแง่นึงก็ดูจะเป็นการพูดคุยกับตัวเองดังๆให้คนอื่นๆได้ยิน เนื้อหาก็เลยจะออกมาในโทนที่คิดว่าเพื่อนๆน่าจะพอรับได้ ประมาณว่าบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปและประสบการณ์ที่ผ่านมาในแต่ละช่วง แล้วก็แอบหวังนิดๆว่ามันอาจมีประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย (เหอะ..อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้างล่ะน่า...อ้าว! ก็ถ้าไม่อยากรู้จะเข้ามาอ่านทำไมล่ะ)
ฮะๆ จริงๆแล้วกลัวว่าถ้าเกิดเขียนเจาะลึกถึงตัวตนเกินไปแล้วเพื่อนจะเลิกคบ แต่ก็ไม่แน่ต่อๆไปอาจเขียนลึกกว่านี้ก็ได้ ถ้าเกิดอาการของขึ้น (แบบไม่ต้องผ่านพิธีปลุกเสก)
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าน้องเป็นไงบ้างกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ปรากฎว่าก่อนจะดูได้ต้องลงทะเบียนกันซะก่อน เราก็ทำตามไปแบบ เออๆเอาไงก็เอากัน ไปๆมาๆก็เลยได้กลายเป็นสมาชิกของ multiply ไปเฉยเลย แบบไม่คาดฝัน ตอนแรกที่รู้ก็มีอาการประมาณว่าอ้าว เอ๊ะ เออน่ะ อืม...มันก็ดูน่าสนุกดี ทดลองคลิ๊กไปคลิ๊กมา กดนู่นนี่มั่วๆเอา ก็เลยกลายเป็นว่าเรามีหน้าเว็บไซต์เป็นของตัวเองด้วยที่ http://athitha.multiply.com ฮะๆแบบไม่คาดฝัน (อีกที) ก็ยังงงๆอยู่ว่านี่ฉันกลายเป็นสาว cyberspace ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แค่มีบล็อกยังไม่พอ เดี๋ยวนี้หัดมีเว็บเพจส่วนตัวกะเขาด้วย แต่มันก็เป็นไปแล้ว
แต่ก็ดีเพราะที่ multiply สามารถเก็บรูปได้เยอะประมาณว่าสร้างอัลบั้มภาพได้ มีfunction ให้เล่นได้หลากหลายคล้ายๆspaces ของ hotmail แต่ว่าดีกว่าตรงที่มันเร็วกว่า แล้วก็ดูง่ายกว่ากันเยอะ ก็เลยอัพโหลดรูปเก่าๆบางรูปที่เก็บไว้ในคอมพ์ มาเก็บไว้ในเว็บด้วย
เอาเป็นว่าตอนนี้มีภาระเพิ่มขึ้นในทาง...อืม...ทางอะไรหว่า...ทางใจก็แล้วกัน ที่จะต้องหาหนทางเข้ามาอัพเดตเว็บและบล็อกของตนเองเป็นระยะๆ จริงๆก็ไม่เชิงว่าเป็นภาระหรอก แหมก็ออกจะเต็มใจปานนี้ รู้สึกว่าสนุกดีที่ได้เขียน ไม่รู้ว่านี่เป็นอาการของคนที่หาคนเป็นๆคุยด้วยไม่ได้ แล้วต้องหาทางระบายออกกับสาธารณชนผ่าน cyberspace หรือเปล่า ฮ่ะๆสงสัยถ้าจะจริง
แต่รู้สึกว่าการเขียน blog กับการเขียนไดอารี่ในสมุดมันต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งทางด้านอารมณ์และเนื้อหาที่อยากเล่า เพราะว่า blog เผยแพร่ความคิดของเราออกไปข้างนอกด้วย ใครๆก็เข้ามาอ่านได้ (ถ้าเขาอยากจะอ่านหรือ หากมีใครบังเอิญพลัดหลงทางผ่านมา) เราก็เลยจะมีการไตร่ตรองและใช้วิจารณญาณมากขึ้นว่าจะเขียนอะไร (แหม ฟังดูดีมีสาระแฮะ)มันจึงไม่ใช่แค่การเขียนระบายอารมณ์ และเวลาเขียนมันจะมีอาการสนุกมากกว่าหดหู่(เท่าที่สังเกตดูตัวเองที่ผ่านมา) เพราะรู้สึกว่าเรากำลังคุยกับเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย (ที่มองไม่เห็น) หรือหากมองอีกแง่นึงก็ดูจะเป็นการพูดคุยกับตัวเองดังๆให้คนอื่นๆได้ยิน เนื้อหาก็เลยจะออกมาในโทนที่คิดว่าเพื่อนๆน่าจะพอรับได้ ประมาณว่าบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปและประสบการณ์ที่ผ่านมาในแต่ละช่วง แล้วก็แอบหวังนิดๆว่ามันอาจมีประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย (เหอะ..อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้างล่ะน่า...อ้าว! ก็ถ้าไม่อยากรู้จะเข้ามาอ่านทำไมล่ะ)
ฮะๆ จริงๆแล้วกลัวว่าถ้าเกิดเขียนเจาะลึกถึงตัวตนเกินไปแล้วเพื่อนจะเลิกคบ แต่ก็ไม่แน่ต่อๆไปอาจเขียนลึกกว่านี้ก็ได้ ถ้าเกิดอาการของขึ้น (แบบไม่ต้องผ่านพิธีปลุกเสก)
Sunday, June 10, 2007
Wisdoms from God
My journal: Natural Way of Love
เขียนเอาไว้นานหลายปีแล้วอีกเหมือนกัน ตอนอกหักใหม่ๆคราวนั้นก็คิดทบทวนเกี่ยวกับมันอยู่หลายวัน ตอนแรกๆก็เจ็บปวดมากสลับกันไปกับความโกรธ (เป็นภาวะธรรมชาติของอารมณ์ยามอกหักที่มักเกิดขึ้นสลับกัน ถ้าไม่เศร้าก็โกรธ ถ้าไม่โกรธก็เศร้า) แต่ตอนที่เขียนออกมาได้นั้นเป็นช่วงที่เกิดอาการปิ๊งแว๊บ คือมีญาณทัศนะบางอย่างเกิดขึ้น มองทะลุผ่านอะไรบางอย่างได้ มันเกิดการคลี่คลายและปลดเปลื้องปมบางอย่างภายในออกไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็คงเป็นสิ่งที่เราต้องเฝ้าดูมันต่อไปอีกเรื่อยๆ (และคงอีกนาน)ตราบใดที่ยังคงมีความรักและการตกหลุมรักอยู่และแน่นอนการอกหักที่ตามมา ก็ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายให้ได้เรียนรู้ต่อไปไม่สิ้นสุด
อาจารย์วรรณี(ครูทางจิตวิญญาณ)สอนว่าความทุกข์คือครูที่เราจะเรียนรู้จากมันได้อย่างมหาศาล และให้เราแปรเปลี่ยนขยะภายในใจเราไปเป็นปุ๋ยแห่งชีวิตให้ได้ คำสอนนี้ช่วยเราให้ฝ่าวิกฤตในชีวิตและประคับประคองใจเอาไว้ได้ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับพายุภายในใจตัวเอง ขอบคุณค่ะอาจารย์
บันทึกนี้เขียนโดยแรงดลใจที่ได้จาก บทสนทนากับพระเจ้า
รวมทั้งอีเมลของชมรมรักรู้ธรรม
10 May 2005
อกหัก
อกหักคราวนี้ทำให้ฉันได้พบกับรักแท้ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า ฉันได้พบกับรักแท้ที่ดำรงภายในตัวฉันเอง ฉันพบว่าความรัก ความสุข ความเบิกบานทั้งหมดที่ฉันเฝ้าแสวงหา ได้ดำรงอยู่ที่นี่แล้วภายในตัวฉันตลอดมา หลังจากผ่านการอกหักมาได้สองวัน ฉันก็ได้ตกหลุมรักอีกครั้งอย่างหมดหัวใจกับตัวเอง กับความงดงามน่ารัก กับความเบิกบาน กับปัญญา กับแสงสว่างที่ดำรงอยู่ภายในตัวฉัน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับตนเอง ช่างเป็นการพบกันอีกครั้งที่น่าประทับใจ
หากถามฉันว่า ฉันยังคงรักเขาอยู่หรือไม่ ฉันคงตอบได้ว่ายังคงรักอยู่และคงจะรักต่อไปเรื่อยๆเพราะตัวฉันคือความรักที่ปรารถนาจักได้สำแดงออกซึ่งรัก แต่ฉันเลือกที่จะยุติรูปแบบความสัมพันธ์ในครั้งนี้กับเขาลง เพราะการยุติรูปแบบความสัมพันธ์นี้ทำให้ฉันสามารถเลือกที่จะเป็นในสิ่งที่ฉันต้องการจะเป็นได้ดีกว่าและมากกว่า
หากถามฉันว่า ฉันเสียใจหรือไม่กับการตัดสินใจในครั้งนี้ ฉันคงตอบได้ว่าแน่นอนฉันรู้สึกเสียใจในตอนแรก แต่แล้วฉันก็เลือกที่จะหยุดเสียใจ พอกันทีกับความเศร้า ความเสียใจ ฉันอยู่กับมันมานานมากพอแล้ว และบัดนี้ฉันก็ได้รู้แล้วว่านั่นไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะเลือกในครั้งนี้และครั้งต่อๆไป บัดนี้ฉันขอเลือกความสุข ขอเลือกความเบิกบาน ขอเลือกความเข้าใจต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาและความรักที่มาจากพระเจ้า ขอเลือกที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆไป
หากถามฉันว่า ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นคืออย่างไร ฉันคงตอบได้ว่า ฉันได้เข้าใจว่าตัวเขาก็คือตัวฉันในอีกภาคหนึ่ง ที่กำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งการแสวงหาและการเรียนรู้ นั่นคือทางเลือกของเขา และเราไม่แตกต่างกัน
ฉันได้เข้าใจว่าความรักความใส่ใจที่เขามีให้แก่หญิงอื่นนั้นย่อมแตกต่างจากความรักที่เขามีให้แก่ฉัน และมันจะไม่มีวันซ้ำกันได้ ฉันดีใจที่ครั้งหนึ่งฉันเคยได้รักและเคยได้รับความรัก และความรักนั้นจะไม่ซ้ำกับความรักในครั้งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของเขาและของฉัน
ฉันได้เข้าใจว่าฉันได้หลงเดินเข้าไปติดกับดักความคิดแบบเก่าๆของตนเองในความสัมพันธ์ครั้งนี้ และนั่นทำให้ฉันไม่มีความสุข ทำให้ฉันร้อนรนกระวนกระวายและเป็นทุกข์ใจ เต็มไปด้วยความหึงหวง การปรารถนาที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ และหวาดหวั่นอยู่ลึกๆว่าวันหนึ่งเขาอาจจะเลิกรักฉันและจากไป ฉันหวาดกลัวความเจ็บปวดจากความคิดที่ว่าฉันจะถูกทอดทิ้งและถูกปฏิเสธ ความหวาดกลัวนี้บีบคั้นหัวใจ
บัดนี้ฉันได้เห็นแล้วว่าฉันยังไม่เติบโตและเข้มแข็งพอที่จะหลุดออกมาจากกับดักนั้นได้ ตราบใดที่รูปแบบความสัมพันธ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป ฉันได้กักขังตนเองและได้ขีดวงจำกัดเสรีภาพแห่งรักและชีวิตภายใต้รูปแบบความสัมพันธ์นั้นโดยไม่รู้ตัว และนั่นทำให้ฉันสร้างตัวตนที่น่าเบื่อ กระด้าง อึดอัดและไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา เมื่อความสัมพันธ์นั้นได้ยุติลงฉันรู้สึกราวกับว่ากับดักนั้นได้พังทลายลง ฉันสัมผัสได้ถึงเสรีภาพภายในอีกครั้ง
ฉันได้เรียนรู้ว่าหากฉันเติบโตกว่านี้ ฉันจะไม่มีวันเดินหลงเข้าไปติดกับดักใดๆได้อีก และฉันจะยังคงรักษาความสุข ความสงบ เสรีภาพและความเบิกบานภายในไว้ได้ ไม่ว่ารูปแบบความสัมพันธ์นั้นจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่ ณ เวลานี้ฉันขอน้อมศีรษะ ยอมรับกับตนเองว่าฉันเพิ่งจะเติบโตได้เพียงแค่นี้และยังต้องเติบโตต่อไป
ฉันได้เรียนรู้ว่าธรรมชาติที่แท้ในตัวฉันคือรักที่ปรารถนาจักแสดงออกซึ่งรัก ฉันคือชีวิตที่ปรารถนาจะแสดงออกซึ่งชีวิต และภายในตัวฉันคือพระผู้เป็นเจ้าที่ปรารถนาจักสำแดงออกซึ่งพระผู้เป็นเจ้า และทั้งหมดนี้คือเสรีภาพ และคือความเป็นนิรันดร์ สิ่งอื่นใดที่อยู่นอกเหนือไปจากนี้ย่อมไม่ใช่
ฉันได้เรียนรู้ว่าตัวฉันก็คือตัวเขา และฉันก็คือผู้หญิงอีกคนที่เขารักด้วยเช่นกัน เพราะเราล้วนมาจากที่เดียวกัน พระเจ้าสร้างเราจากพระองค์ในรูปแบบที่แตกต่างกันนับล้านนับพัน ณ จุดที่ไร้กาล หรือในอีกแง่หนึ่ง คือ ณ จุดแห่งกาลอันเป็นนิรันดร์ นั่นคือ ณ ที่นี่ ขณะนี้ แท้จริงแล้วไม่มีเวลาอื่นใดนอกจาก ขณะนี้ เพราะฉะนั้นเขาที่ฉันรัก และเธอที่เขารักคือคนๆเดียวกันที่ดำรงอยู่ในสภาวะที่แตกต่าง ณ ชั่วขณะเดียวกัน
ฉันได้พบว่าตัวฉันคือผู้สร้าง ฉันเลือกที่จะสร้างประสบการณ์ที่ฉันต้องการได้ ฉันเลือกที่จะรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ฉันเลือกที่จะเป็นผู้กระทำได้ พระเจ้าบอกว่า ความลับของชีวิตนั้นหาใช่การค้นพบไม่ หากแต่คือการสร้างสรรค์ คือการเลือกที่จะสร้างและเป็นในสิ่งที่เราปรารถนาจะเป็น เราทุกคนคือผู้สร้างและเรากำลังสร้างประสบการณ์และตัวเราขึ้นในทุกๆนาที ในทุกๆวัน ในทุกๆเดือนและทุกๆปี นี่คือบทเรียนสำคัญที่ฉันยังคงจะต้องเรียนรู้ต่อไป
พระเจ้าคะขอบคุณสำหรับทุกสิ่งๆและทุกๆเหตุการณ์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ขอบคุณสำหรับคำตอบ แสงสว่าง ปัญญาและความรักที่ท่านส่งมาให้ตลอดเวลา...ในทุกๆวิถีทาง
Friday, June 8, 2007
Dhamma Talk
เมื่อเช้าฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อ ปราโมทย์ (mp3) ฟังไปก็ขำไป พยักหน้าหงึกๆหงักๆไปคนเดียวเวลาที่รู้สึกว่า “เออจริงด้วย ใช่ๆๆ” (ใครไม่รู้คงนึกว่าเราเพี้ยน)
มีอยู่ตอนหนึ่งท่านแนะนำเคล็ดลับการทำสมถะภาวนาให้ได้ดี คือ ความรู้สึกสบาย ถ้าใจสบายแล้วจิตจะสงบได้เร็ว ซึ่งท่านก็ได้แนะนำเทคนิคหลายอย่างที่ทำแล้วใจจะรู้สึกสบายขึ้น แต่มีอยู่อันที่หนึ่งที่ท่านพูดแล้วเราน้ำตาไหลเลย คือท่านว่าเวลากราบพระก็อย่าสักแต่ว่ากราบๆไป แต่ให้คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังมายืนอยู่ตรงหน้าเรา แล้วเราก็น้อมใจลงไปกราบแทบบาทท่าน
โห แค่น้อมระลึกตามที่หลวงพ่อพูด เราก็น้ำตาไหลพรากๆเลย (ตอนนั้นนั่งทานผลไม้อยู่) เพราะนี่คือหนึ่งในความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเรา คือ การได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้กราบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมและได้ปฏิบัติธรรมของท่าน (ขนาดเขียนตอนนี้ยังน้ำตาซึมเลย) ก็ไม่รู้ว่าชาติไหนถึงจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แต่จะเป็นเมื่อไรอย่างไรนั้นไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ก็ให้เพียรปฏิบัติสั่งสมไปเรื่อยๆ (เราก็ทำบ้างขี้เกียจบ้างบางที) สาธุ
Home Hug
เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ ๒-๓ มิ.ย.๕๐ ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปจัดค่ายธรรมชาติบำบัดให้เด็กๆที่บ้านโฮมฮัก (มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชนฯ)จังหวัดยโสธร ชื่อบ้านโฮมฮักนี้ดีมากๆเลยทั้งในความหมายภาษาถิ่น คืออาจแปลได้ว่า เรามารวมกันด้วยความรัก (อะไรประมาณนี้แหละ) และในภาษาอังกฤษเมื่อถ่ายถอดเสียงออกมาก็จะไปตรงกับคำว่า Home Hug ซึ่งแปลเอาความได้ว่า บ้านโอบกอด(ด้วยรัก) เราล่ะนับถือคนคิดชื่อนี้จริงๆ คิดได้เจ๋งมากๆ
ทีมเราประกอบด้วยอาสาสมัครธรรมชาติบำบัด ๕ คน คือ เรา พี่อางค์ พี่โอ๋ พี่ไหม พี่ผึ้ง (น้องสาวพี่นก นฤมล เมธีสุวกุล) แล้วก็ยังมี พระภิกษุอีก ๒ รูป คือพระสมบูรณ์ กับพระประสงค์ (พี่ไหมนิมนต์ท่านมา) ทั้งสองท่านนี้เป็นพระที่ผ่านการฝึกอบรมด้านการเป็นกระบวนกรมาไม่น้อย แต่ละท่านมีเทคนิควิธีการนำกระบวนการได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่านประสงค์นั้น มุขฮาท่านไหลลื่นมาก โชคดีที่งานนี้มีพระมาด้วย พระท่านช่วยได้สารพัดประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าจะนำเกม กิจกรรม นำสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา รับบิณฑบาตรจากเด็กๆ ปล่อยมุขฮา ฯลฯ(ให้ท่านทำงานเยอะขนาดนี้ จะบาปไหมเนี่ย)
มีเด็กๆหลายคนที่ติดเชื้อ HIV แม้สุขภาพกายจะอ่อนแอและสุขภาพใจดีมากๆ แววตายังสดใส ยังยิ้ม หัวเราะได้ร่าเริงเบิกบาน เหมือนเด็กปกติทั่วไป จนเราเองที่กะว่าจะไปเป็นผู้ให้ เป็นผู้ช่วยเยียวยาเด็กๆ กลับรู้สึกว่าตัวเองตะหากที่ได้รับการเยียวยาจากเสียงหัวเราะ จากความรัก ความสดใสของเด็กๆเหล่านี้ ใจเรามันจะเบาๆสบายๆมีความสุขอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา ๒ -๓ วันที่จัดกิจกรรมนี้
นึกถึงคำพูดของ เจ้าหวัน ลูกชายของพี่หมูที่โรงเรียนใต้ร่มไม้ จ.พัทลุง ที่ว่า "เด็กๆพร้อมที่จะรักครูอยู่ตลอดเวลา แต่ครูต่างหากที่ชอบสร้างกำแพงกั้นตัวเองเอาไว้ไม่ให้ได้รับความรักจากเด็กๆ" ก็จริงนะ เพราะเราเองก็รู้สึกได้เลยว่าเด็กๆที่นี่พร้อมที่รักและเป็นที่รัก แน่นอนว่าเด็กๆเองก็ต้องการความรักมาก เพราะขาดมาตั้งแต่เล็กๆ และต่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์ในวัยเยาว์มากมายจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด แต่เขาก็ยังมีความกล้ามากพอที่จะเปิดใจรักผู้ใหญ่คนอื่นๆได้ด้วย เราเองลึกๆแล้วรู้สึกนับถือจิตใจที่ยิ่งใหญ่และความกล้าหาญของเด็กๆไม่น้อย
ทีมเราประกอบด้วยอาสาสมัครธรรมชาติบำบัด ๕ คน คือ เรา พี่อางค์ พี่โอ๋ พี่ไหม พี่ผึ้ง (น้องสาวพี่นก นฤมล เมธีสุวกุล) แล้วก็ยังมี พระภิกษุอีก ๒ รูป คือพระสมบูรณ์ กับพระประสงค์ (พี่ไหมนิมนต์ท่านมา) ทั้งสองท่านนี้เป็นพระที่ผ่านการฝึกอบรมด้านการเป็นกระบวนกรมาไม่น้อย แต่ละท่านมีเทคนิควิธีการนำกระบวนการได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่านประสงค์นั้น มุขฮาท่านไหลลื่นมาก โชคดีที่งานนี้มีพระมาด้วย พระท่านช่วยได้สารพัดประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าจะนำเกม กิจกรรม นำสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา รับบิณฑบาตรจากเด็กๆ ปล่อยมุขฮา ฯลฯ(ให้ท่านทำงานเยอะขนาดนี้ จะบาปไหมเนี่ย)
มีเด็กๆหลายคนที่ติดเชื้อ HIV แม้สุขภาพกายจะอ่อนแอและสุขภาพใจดีมากๆ แววตายังสดใส ยังยิ้ม หัวเราะได้ร่าเริงเบิกบาน เหมือนเด็กปกติทั่วไป จนเราเองที่กะว่าจะไปเป็นผู้ให้ เป็นผู้ช่วยเยียวยาเด็กๆ กลับรู้สึกว่าตัวเองตะหากที่ได้รับการเยียวยาจากเสียงหัวเราะ จากความรัก ความสดใสของเด็กๆเหล่านี้ ใจเรามันจะเบาๆสบายๆมีความสุขอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา ๒ -๓ วันที่จัดกิจกรรมนี้
นึกถึงคำพูดของ เจ้าหวัน ลูกชายของพี่หมูที่โรงเรียนใต้ร่มไม้ จ.พัทลุง ที่ว่า "เด็กๆพร้อมที่จะรักครูอยู่ตลอดเวลา แต่ครูต่างหากที่ชอบสร้างกำแพงกั้นตัวเองเอาไว้ไม่ให้ได้รับความรักจากเด็กๆ" ก็จริงนะ เพราะเราเองก็รู้สึกได้เลยว่าเด็กๆที่นี่พร้อมที่รักและเป็นที่รัก แน่นอนว่าเด็กๆเองก็ต้องการความรักมาก เพราะขาดมาตั้งแต่เล็กๆ และต่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์ในวัยเยาว์มากมายจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด แต่เขาก็ยังมีความกล้ามากพอที่จะเปิดใจรักผู้ใหญ่คนอื่นๆได้ด้วย เราเองลึกๆแล้วรู้สึกนับถือจิตใจที่ยิ่งใหญ่และความกล้าหาญของเด็กๆไม่น้อย
และพอเอาเข้าจริงเรากลับสอนอะไรไปไม่ได้มากเท่าไร (ในแง่เนื้อหา)แต่กลับได้เรียนรู้อะไรมากมายผ่านประสบการณ์ รู้สึกทึ่งมากที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆอายุแค่ ๓-๔ ขวบ ล้างจาน กวาดบ้าน รู้หน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบช่วยเหลือตัวเองได้มากมายขนาดนี้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยประคบประหงมหรือมาจ้ำจี้จ้ำไชมากมาย เด็กโตกว่าก็จะช่วยดูแลเด็กเล็กกว่า (พี่สอนน้อง) เราทึ่งกับศักยภาพของเด็กๆมาก ถ้าพ่อแม่ที่ชอบตามใจลูกจนเสียเด็กได้มาเจอเด็กๆพวกนี้เข้า คงได้คิดอะไรบ้าง
นอกจากประทับใจกับเด็กๆแล้ว เราเองก็ได้เรียนรู้กิจกรรมและเกมส์ต่างๆมากมายสารพัดที่พระกระบวนกรและพี่ไหมของเรา (ซึ่งเพิ่งผ่านการอบรมกระบวนกรมาหมาดๆกำลังร้อนวิชา (ฮ่ะๆ)) งัดออกมาใช้หลอกล่อเด็กๆ บางเกมก็ง่ายๆมากเลย แต่สนุกสุดๆ เช่น เกม พระ ผี ผู้หญิง (คล้ายๆเป่ายิ้งฉุบ หรือ เสือ ไก่ มอด ฯลฯ แต่เกมนี้จะต้องออกท่าทางให้รู้สถานะว่าเลือกไปตัวละครตัวไหน) หรือ เกมปลาโลมา ๑ ตัว กระโดดลงไปในทะเล จึ๋ย~ หรือเกมกบ อ๊บๆ ตบพื้นก็สนุกดี เล่นง่าย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกมส์หรือกิจกรรมที่เน้นการฝึกสติด้วย
สรุปแล้วไปๆมาๆ เราว่าค่ายนี้จะเล่นเกมส์/ กิจกรรมนันทนาการกัน มากกว่าการสอนเนื้อหา แต่ก็ดีไปอีกแบบ อย่างน้อยเด็กๆ ก็ไม่ต้องทนง่วงหรือหลับนานนักในช่วงบรรยาย ผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายก้อพลอยสนุกไปด้วย บ้างก็แอบอู้งานผ่านการเล่นเกมส์เพราะขี้เกียจบรรยาย (เช่น เราเป็นต้น :-D แต่อย่างไรก็ตามทุกคนก็ได้รับความสุขกลับบ้านกันมาโดยถ้วนหน้าละน่า)
My Journal: Inspiration from books
ข้างล่างนี่ เป็นบันทึกที่เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ ๑๑ พ.ค.๔๘ เขียนจากแรงบันดาลใจที่เกิดอย่างฉับพลันในตอนตื่นนอนตอนเช้า ลืมตาขึ้นมาบนเตียงแล้วรู้สึกว่า โห!วันนี้ดีโครตๆๆเลย ทำไมรู้สึกดีกับชีวิตขนาดนี้ ราวกับทุกชั่วขณะเป็นวินาทีแห่งความอัศจรรย์ มันสดใหม่และเต็มเปี่ยม แค่ดื่มน้ำจากแก้วก็รู้สึกซาบซึ้งเสียจนน้ำตาซึม ไวกับความรู้สึกและผัสสะต่างๆมาก สัมผัสได้ถึงความเปราะบางของชีวิต ขณะเดียวกันก็มั่นคงและไว้วางใจอยู่ลึกๆข้างใน ก็เลยเกิดบันทึกหน้านี้ขึ้น อันที่จริงมันคือการตกผลึกทางความคิด+ความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่าน Conversation with God book 3 กับ Message from the Water หนังสือดีๆสามารถเปลี่ยนชีวิตได้นะเออ ลองอ่านดูเองละกัน
เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเปี่ยมรัก สัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งรักที่หลั่งรินท่วมท้นอยู่รอบๆตัวและในอากาศ รักได้หลั่งรินเข้ามาสัมผัสหัวใจ-จิตวิญญาณของฉัน นอนยิ้มอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยลุก ฉันเริ่มเรียนรู้ที่จะไม่หวาดหวั่นต่อการสูญเสียความรู้สึกนี้ไป เพราะฉันรู้แล้วว่าฉันสามารถเลือกที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ใหม่ และสร้างมันขึ้นมาได้เองในทุกๆวินาที และความรักนั้นจะไม่เคยซ้ำและไม่มีวันซ้ำ หากแต่จักเป็นประสบการณ์ที่สดใหม่อยู่เสมอ
มีดอกไม้นับล้านนับพันที่ถือกำเนิดขึ้นและคลี่กลีบบานในทุกๆนาทีที่ฉันกำลังหายใจ และโลกนี้ไม่เคยมีดอกไม้ใดซ้ำกัน และภายในดอกไม้นั้นไม่มีกลีบใดที่ซ้ำกัน ไม่มีเกล็ดหิมะ หรือผลึกน้ำหยดใดที่เหมือนหรือซ้ำกันแม้สักหยดเดียว นี่คือความอุดมสมบูรณ์แห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้า และพลังแห่งการสร้างนั้นได้ดำรงอยู่ภายในตัวฉันด้วยเช่นกัน
เช้านี้ขณะที่ฉันดื่มน้ำ ฉันพบว่าพระเจ้าคือน้ำในแก้วนี้ และตัวฉันเองก็คือน้ำในแก้วนี้ พระเจ้าคือมดที่เดินอยู่รอบๆขอบปากแก้ว และฉันก็คือมดตัวนั้น พระเจ้าได้สำแดงพระองค์ ได้ทรงเป็นและดำรงอยู่ในวิถีต่างๆในสภาวะต่างๆกันนับล้านนับพันวิถี บูม!ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว คือ ชั่วขณะนี้ เพราะแท้จริงแล้วสภาวธรรมนั้นไร้กาลและสถานที่ ฉันดื่มน้ำนั้นด้วยสำนึกขอบคุณ ฉันกำลังดื่มพระเจ้าเข้าไป และฉันกำลังดื่มตัวฉันเองเข้าไป
ฉันพบว่าฉันคือพระพุทธเจ้า ฉันคือพระเยซู ฉันคือโจรสองคนที่อยู่เคียงข้างพระเยซู ฉันคือทหารที่ทำร้ายพระเยซู คือนักบวชฟาริสสีที่วางแผนจับตัวพระองค์ คือชาวมุสลิมในภาคใต้ คือตำรวจทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาลในกรุงเทพฯ ฉันคือสุนัขจรจัดตัวนั้นที่ฉันพบทุกเช้า คือสุนัขฟันเกตัวนั้นที่มักจะรี่เข้ามาทักทายฉันอย่างดีอกดีใจทุกครั้งในทุกเช้า ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่ดำรงอยู่ ณ ที่นี่ เวลานี้ บนโลกใบนี้และในจักรวาลนี้ พระเจ้าได้เปิดเผยตัวตนของพระองค์ในการทรงสร้างอันสมบูรณ์
สิ่งใดก็ตามที่ฉันได้กระทำหรือมอบให้แก่ผู้อื่น สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาสู่ตัวฉันเอง เพราะฉันก็คือเขา และเขาก็คือตัวฉัน น่าอัศจรรย์เหลือเกิน
Inspiration to have this blog
ตะก่อนนี้ไม่เคยรู้จักเลยว่า blog คืออะไร เห็นคนอื่นเขาคุยๆกันก็เหรอๆๆ ทำหน้าเอ๋อๆ งงๆ อยู่เสมอ อะไรฟะ มันคืออะไรกันแน่ มันต่างจากอีเมล์ เว็บบอร์ดหรือเว็บไซต์ตรงไหนอ่ะ
แต่แล้วราวกับฟ้าบันดาล ช่วยไม่ให้เราโง่นานนัก เราก็เลยได้รับแรงบันดาลใจในการอยากมี blog เป็นของตัวเองเอาอีตอนที่ไปอ่านหนังสือ blog blog ของปิ่น ปรเมศวร์ หรือในอีกชื่อคือ ปกป้อง จันทวิทย์(สะกดชื่อถูกรึปล่าวเนี่ย)(http://pinporamet.blogspot.com และ http://pinporamet.wordpress.com ) ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ open เมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วก็เลยถือโอกาสเข้าไปอ่าน blog ของเขาด้วย โอ้ สนุกจัง จากนั้นก็เริ่มลามปามไปอ่านของคนอื่นๆต่ออีกมากมาย โอ้ สนุกๆๆจัง นับว่าเป็นเวทีแห่งการเปิดเผยตัวตนที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะแยะอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน (โอ้ อะไรจะปานนั้น)
พอดีพี่เล็กที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ก็มาชวนเพื่อนๆในที่ทำงานประมาณว่า เรามาเขียน blog ของตัวเองกันดีไหม เอาไว้ปะทะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้ สาระ และเป็นเวทีวิชาการได้ด้วย (คือ พี่เล็กจะเป็นประมาณว่ามีสาระ บวกความเป็นนักวิชาการหน่อยๆๆ อืม..สมแล้วกับตำแหน่งว่าที่อาจารย์ ด็อกเตอร์ของเรา ข้าน้อยขอคารวะ) เผอิญว่า พี่เขาก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน(แฮะๆ คือ อันที่จริงมันก็คือหนังสือของพี่เขานั่นแหละ เราขอยืมเขามาอ่านอีกทีโดยไม่ขออนุญาตอีกตะหาก) ก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่ของพี่เขาดีกว่าตรงที่ว่า คิดแล้วก็พูดแล้วก็ลงมือทำด้วย ส่วนเราน่ะมัวแต่คิดๆอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ลงมือทำสักที จนพี่เล็กพูดออกมาเนี่ยแหละ ก็เลยตัดสินใจว่า เออ เอาดิ ดีเหมือนกัน คิดเงียบๆวนๆเวียนๆในใจอยู่นานแล้วน่าจะลงมือทำสักที ก็เลยเกิด blog นี้ขึ้นมา ณ บัดดล ทว่าบล็อกของเรามันจะออกแนวตามใจฉันอยู่สักหน่อย ไอ้เรื่องวิชากง วิชาการอะไร ก็คงจะหาดูได้ยาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังสนุกอยู่ดีที่ได้มี blog เป็นของตัวเองสักที ฮะๆ (โอ้ สนุกจัง มีเรื่องสนุกๆให้ทำอีกแล้วสิเนี่ย)
Monday, June 4, 2007
Success!!
เย้! ในที่สุดหลังจากใช้ความพยายามลองผิดลองถูกมากว่าครึ่งวัน ก็ทำสำเร็จจนได้ ฮะฮ้า สามารถ post รูปภาพเข้าไปใน profile ได้สำเร็จแล้ว เย้ๆๆ เก่งจริงๆลูกใครเนี่ย ขอแสดงความชื่นชมปรบมือให้ร้อยที
เฮ้อ เหนื่อยเลยเหมือนกันนะเนี่ย
วันนี้ก็คงพอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นนี้ต้องเดินทางไกลไปจัดค่ายที่ยโสธรอีก ชีวิตเรานี่มันมีดวงพเนจรหรือไร ตั้งแต่ทำงานมาก็เดินทางไม่ได้หยุดเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมโนกรรมที่ได้เคยทำไว้สมัยเรียนหรือเปล่า เพราะเคยอยากเป็นนักเดินทางเสียเหลือเกิน ใครถามว่า "จบแล้วอยากเป็นอะไร" ก็ตอบไปว่า "อยากเป็นนักเิดินทางว่ะ มีรึเปล่าล่ะอาชีิพนี้น่ะ" ชะรอยตอนนั้นหารู้ไม่ว่ามันมีจริงๆนะเฟ้ย เพียงแต่มันไม่ได้เป็นอาชีพ หากแต่เป็นลักษณะของงานที่ทำอ่ะ
เฮ้อ เหนื่อยเลยเหมือนกันนะเนี่ย
วันนี้ก็คงพอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นนี้ต้องเดินทางไกลไปจัดค่ายที่ยโสธรอีก ชีวิตเรานี่มันมีดวงพเนจรหรือไร ตั้งแต่ทำงานมาก็เดินทางไม่ได้หยุดเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมโนกรรมที่ได้เคยทำไว้สมัยเรียนหรือเปล่า เพราะเคยอยากเป็นนักเดินทางเสียเหลือเกิน ใครถามว่า "จบแล้วอยากเป็นอะไร" ก็ตอบไปว่า "อยากเป็นนักเิดินทางว่ะ มีรึเปล่าล่ะอาชีิพนี้น่ะ" ชะรอยตอนนั้นหารู้ไม่ว่ามันมีจริงๆนะเฟ้ย เพียงแต่มันไม่ได้เป็นอาชีพ หากแต่เป็นลักษณะของงานที่ทำอ่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)