ฉันมีโอกาสได้ฟังซีดีพระอาจารย์มาสักระยะหนึ่ง เคยไปฟังพระอาจารย์แสดงธรรมที่ศาลาลุงชินและที่สวนสันติธรรมสองสามครั้ง แต่ที่ผ่านมาก็ปฏิบัติแบบกระพร่องกระแพร่ง ฟังซีดีบ้างไม่ฟังบ้าง ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง จึงได้แต่ไปนั่งฟัง แต่ไม่เคยคิดจะส่งการบ้าน เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติมากพอที่จะมีอะไรส่งได้ ส่งไปก็อายชาวบ้าน อายพระอาจารย์เปล่าๆ
แต่เมื่อสักช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่าน รู้สึกมีกำลังใจ ฮึดสู้ขึ้นมาเพราะได้อ่านบลอกธรรมใจไดอารี่ของพันธกุมภาที่ปฏิบัติตามแนวทางของพระอาจารย์ จริงๆแล้วก็เคยอ่านเจอบลอกของเขาผ่านเว็บประชาไท(นานมาแล้ว) ตอนนั้นยังนึกชมว่า คนเขียนอายุยังน้อยแต่เขียนได้ดีมาก อ่านแล้วรู้สึกว่ามีกำลังใจในการปฏิบัติ แต่แล้วก็ลืมๆไป(กำลังใจมันมาเป็นวูบๆ) แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็มาเจอบลอกของเขาอีกทีใน facebook นับว่าโลกกลมจริงๆ ก็เลยเกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบ ยังรู้สึกขอบคุณเขาจนบัดนี้ที่ได้แบ่งปันงานเขียนดีๆ และข้อความดีๆ บนเส้นทางแห่งการปฏิบัติของเขาให้ฉันได้อ่าน ซึ่งได้มาช่วยเตือนสติและสร้างแรงบันดาลใจให้ฉันฮึดขึ้นมาปฏิบัติอีกครั้ง
ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงได้เริ่มต้นตั้งใจปฏิบัติตามแนวทางของพระอาจารย์อย่างต่อเนื่อง ดูเล่นๆไปเรื่อยๆ แบบทีเล่นทีจริง เผลอบ้าง เพ่งบ้าง หลงบ้าง ดูกายบ้าง ดูจิตบ้าง สลับไปสลับมาแล้วแต่ว่าจะดูอะไรได้ในตอนนั้น บางขณะก็ระลึกรู้ได้เองถึงกายและใจโดยไม่ได้ตั้งใจ (แว๊บหนึ่งแล้วก็หายไป)
มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันโกรธเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาก แล้วก็ไปพูดระบายความโกรธเคืองให้เพื่อนร่วมงานอีกคนฟังแบบใส่อารมณ์เต็มที่ (แน่นอนอย่างมีเหตุมีผลประกอบอย่างน่าเชื่อถือ) พอพูดจบได้สักพัก เจ้าตัวคนที่ถูกเอ่ยถึงเดินเข้าห้องมา ฉันก็ทำหน้าเฉยๆ แล้วคุยก็เขาแบบปกติด้วยดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เย็นวันนั้นขณะนั่งรถกลับบ้าน จู่ๆจิตก็ระลึกขึ้นมาได้ถึงพฤติกรรมของตัวเอง แล้วก็ได้เห็น pattern ความร้ายกาจของตัวเองที่พูดเอาแต่ได้มาตลอด ในเวลาที่ไม่พอใจหรือเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ขัดเคือง ฉันสามารถพูดให้ร้ายคนอื่นอย่างหน้าไม่อายเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นผิด พูดให้ตัวเองดูดีดูมีเหตุผล แต่ในขณะเดียวกันก็เจ้าเล่ห์เพทุบายเอาตัวรอดในสถานการณ์การเผชิญหน้ากับคู่กรณี กลับกลอกได้อย่างแนบเนียน จนแม้แต่ตัวเองก็มองไม่เห็น (หรือแกล้งทำเป็นไม่เห็นเพราะไม่อยากจะมอง) จนกระทั่งหลายครั้งฉันก็เชื่อว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นสมควรแล้ว ชอบธรรมแล้ว ฉันได้ทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินโทษผู้อื่นแบบเบ็ดเสร็จ
เย็นนั้นพอได้เห็น pattern พฤติกรรมของตัวเองแล้วก็รู้สึกละอายใจมาก ทำเอาสะดุ้งเฮือกว่า โอ้โห เรานี่มันนางมารร้ายตัวจริงเลยนี่หว่า เป็นนางมารร้ายแบบเนียนๆด้วย ร้ายแบบขั้นเทพ เพราะเวลาที่เกิดโทสะแรงๆนั้น ฉันไม่ได้ลงมือลงไม้ทำร้ายใคร ไม่ได้อาละวาดด่าใครด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ฉันสามารถพูดให้ร้ายคนได้อย่างชนิดที่ฟังแล้วน่าเชื่อถือ ในขณะเดียวกันทำให้ตัวเองดูน่าเห็นใจน่าสงสาร ดูเป็นคนดีมีเหตุผลและหลักการ และแน่นอนมีคุณธรรม (อิอิ ภาพลักษณ์อันหลังที่มอบให้ตัวเองนี้ถือว่าแสบมากๆ)
ตอนนั้นพอได้เห็นความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความชั่วร้ายและกิเลสในจิตใจตัวเอง เกิดความรู้สึกว่าใจมันโล่งกระจ่างแจ้งและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก (แล้วก็สะใจตัวเองมากๆด้วย) และเกิดความสำนึกว่าต่อไปจะต้องระมัดระวังไม่พูดจาให้ร้ายใครอีก หากเกิดโทสะแรงๆขึ้นมาเมื่อไหร่จะสงบปากสงบคำ จะหุบปากตัวเองให้สนิทขึ้น ใจจะโกรธก็โกรธไป แต่จะไม่ละเมิดศีลข้อสี่ (ซึ่งเป็นข้อที่ฉันละเมิดบ่อยที่สุด—ในที่นี้หมายรวมถึงการพูดจาให้ร้าย ส่อเสียดและประชดประชันผู้อื่นด้วย)
เพิ่งจะได้เข้าใจที่เคยมีคนบอกฉันว่า ฉันน่ะเป็นคนที่ทำอกุศลกรรมด้านคำพูด เคยพูดจาทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ พูดจาว่าคนอื่น กรรมในเรื่องคำพูดก็เลยส่งผลให้ฉันกลายเป็นคนอ่อนไหว ขี้น้อยใจง่าย ใครพูดอะไรผิดหูนิดหน่อยก็มีอันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หรือน้อยออกน้อยใจ ทุกข์จะเป็นจะตายขึ้นมา (ก็สมควรแล้ว) เมื่อก่อนนี้ก็มองไม่เห็น คิดไม่ออกเลยว่าฉันเคยไปด่าว่าใครที่ไหนตั้งแต่เมื่อไรกัน แถมตอนนั้นยังคิดอีกว่า แหม โถๆๆ เราก็ออกจะเป็นคนดีปานนี้ จะไปพูดจาว่าใครเขาได้ แล้วยังคิดเลยเถิดไปนู่นว่า ชะรอยสงสัยจะเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อนเป็นแน่แท้ ก็ไม่เป็นไรก้มหน้าก้มตารับกรรมไปก็แล้วกัน (เล่นบทพจมานเสียงั้น) ชิชะ ที่ไหนได้ มันเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันนี่แหละ ไม่ต้องคิดว่าชาติก่อนชาติไหน ตรูทำมันอยู่เกือบทุกวันเนี่ย แต่ที่ผ่านมามองไม่เห็นเอง ตอนนี้พอกำลังของสติมันมากเข้า มันก็ช่วยให้เราเห็นพฤติกรรมความน่าเกลียด และกิเลสของตัวเองได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะตัวที่หยาบๆใหญ่ๆ เนี่ยจะเห็นได้ก่อนเพื่อน
เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วที่บอกว่าเป็นนางมารร้ายแบบเนียนๆ นี้ มันก็ไม่ได้เนียนจริงสักเท่าไหร่ เพราะยังเป็นกิเลสแบบหยาบๆอยู่ ในใจลึกๆนั้นแอบรู้ว่าตัวเองยังมีกิเลสที่เนียนยิ่งกว่านี้ได้อีก ยังมีซ่อนอยู่อีกหลายตัว แต่ตอนนี้ยังเห็นไม่ค่อยชัด ขอให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นเองในไม่ช้า
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นใจจึงมีกำลังคึกคัก ฮึกเฮิมมาก มันดีใจมีความสุขที่ได้เห็นกิเลสของตัวเอง ก็ตั้งใจปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆวันดีคืนดี ก็เกิดแรงบันดาลใจว่าอยากไปวัด อยากไปสวนสันติธรรมหรือไปวัดป่าละอูก็ได้ อยากลองไปส่งการบ้านบ้าง อยากรู้ว่าที่ฉันปฏิบัติอยู่นี้มันมาถูกทางหรือยัง หรือว่าจริงๆแล้วยังมั่วๆอยู่
เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ ฉันจึงได้มีโอกาสไปสวนสันติธรรมเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ตั้งใจว่าจะขอส่งการบ้านกับพระอาจารย์ให้ได้สักครั้ง ฉันตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อที่จะไปขึ้นรถตู้ตอนตีสี่ รถไปถึงสวนสันติธรรมราวๆหกโมงเช้า ประตูวัดยังไม่ทันเปิด ก็มีรถจอดรอต่อคิวเป็นแถวยาวอยู่หน้าวัดแล้ว เมื่อเข้าไปในวัด ก็สัมผัสได้ถึงพลังบรรยากาศที่ดีอยู่รายรอบ ฉันเดินขึ้นไปบนศาลาแสดงธรรมเพื่อหาที่นั่ง เช้านั้นฉันได้นั่งแถวเกือบหน้าๆ (แถวที่เจ็ด) ในตำแหน่งกลางๆห้อง เรียกว่านั่งในตำแหน่งที่จะได้เห็นพระอาจารย์แบบชัดๆเลยทีเดียว เป็นทำเลที่ดีมาก (ดีใจจัง)
ตอนที่เห็นพระอาจารย์เดินเข้ามาเพื่อบรรยายธรรมตอนเจ็ดโมงนั้น รู้สึกดีใจมาก ก้มลงกราบด้วยความรู้สึกขอบคุณพระอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า ปรากฏว่าธรรมะข้อแรกที่พระอาจารย์แสดงในเช้าวันนี้คือ เรื่องความร้ายกาจ (กิเลส) ของคนเรา ท่านว่า ตอนวัยเด็กที่มีนิสัยหรือพฤติกรรมร้ายๆนั้น พอโตขึ้นมา อย่าคิดว่าความร้ายมันหายไปนะ ความร้ายมันยังอยู่นั่นแหละไม่ได้หายไปไหน แต่มันถูกปกปิดไว้ ถูกซ่อนไว้ ตอนเด็กๆมันร้ายแบบดิบๆ พอโตขึ้นมามันร้ายแบบเนียนๆ (สุดยอดมาก โดนจริงๆ ฮ่าๆ) ฉันก็ได้แต่นั่งฟังไปอมยิ้มไป ด้วยความสะใจตัวเองมาก พยักหน้าหงึกๆ อย่างยอมรับว่าเห็นจริงตามที่ท่านว่าทุกประการ รู้สึกสนุกสนานและเบิกบานยิ่งนัก ฟังไปก็อาศัยดูจิตไปด้วย บางทีก็คิดตามบ้าง บางทีก็เผลอคิดนอกเรื่อง ใจลอย บางทีก็รู้สึกตัว สลับไปสลับมา
พระอาจารย์แสดงธรรมถึงแปดโมงเช้า ก็ให้ญาติโยมออกมากินอาหารเช้า ก่อนที่จะเข้าไปฟังธรรมอีกรอบตอนเก้าโมง รอบเก้าโมงนี้จะเป็นช่วงที่ท่านเปิดโอกาสให้เราได้ถามคำถาม หรือส่งการบ้านในการปฏิบัติให้ท่านฟัง เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ตอนเก้าโมงเช้า พระอาจารย์เริ่มด้วยการบรรยายธรรมสั้นๆแล้วก็บอกว่า วันนี้หลวงพ่อมีเวลาไม่มาก ต้องรีบไปทำธุระที่อื่นต่อ คงจะให้ถามได้ไม่มาก (ฟังแล้วรู้สึกใจแป้วไปนิดหนึ่ง แต่ก็เข้าใจและเห็นใจว่าท่านมีภารกิจมาก) แล้วท่านก็บอกว่า เอ้าใครจะถามก็ยกมือ(พร้อมป้ายหมายเลข) ฉันฟังเพลินยกแทบไม่ทัน ฮะๆ ตอนนั้นเห็นสภาพจิตตัวเองว่าทุลักทุเล ลนลานรีบยกมือแบบขลุกขลักมาก ในใจรอคอยคาดหวังว่าท่านจะเรียกหมายเลขของเราไหม แต่ปรากฏว่าท่านไม่หันมาเลย มองไปแต่ทางอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วก็เรียกหมายเลขอื่นๆไปเรื่อยๆ ขนาดคนที่นั่งติดกันกับฉันยังถูกเรียกเลย (แอบอิจฉาเขาด้วย) แล้วก็หลวงพ่อก็บอกว่า เอาล่ะเช้านี้พอแค่นี้ก่อน ตอนนั้นใจแป้วมาก รู้สึกเสียดาย(ในใจคร่ำครวญว่าเสียดายจังเลยๆ) แต่สักแป๊บหนึ่งก็ทำใจได้ว่าพระอาจารย์ท่านมีภารกิจมาก เท่าที่ท่านให้โอกาสพวกเราขนาดนี้ก็นับว่าต้องขอบพระคุณท่านมากแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่ ค่อยหาโอกาสส่งการบ้านอีกทีก็ได้
สักพักพอท่านให้หมายเลขต่างๆส่งการบ้านจนครบ ท่านก็หันมาแล้วบอกว่า เอ้า มาทางฝั่งนี้บ้าง ใครมีคำถามหรือจะส่งการบ้านก็ยกมือ ฉันรีบยกมือชูป้ายแบบสุดแขน (แบบว่ารอบนี้เต็มที่มาก ดีใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง) ชะรอยในรอบแรกนั้น เส้นแบ่งกั้นครึ่งห้อง(ที่พระอาจารย์ขีดไว้ในใจ) มันมาสิ้นสุดตรงฉันพอดี ฉันเลยไม่ได้ถูกเรียกในตอนแรก (ฮ่าๆ) จากนั้นพระอาจารย์ก็เรียกหมายเลขนู่นนี่ไปเรื่อยๆ สักพักท่านมองมาที่ฉันด้วยสายตาสงสัย แล้วก็ถามว่า หมายเลข ๑๕๔ ส่งการบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ตอนแรกยังงงๆ ไม่คิดว่าท่านจะพูดกับฉัน (เพราะฉันยังไม่เคยส่งการบ้านเลยสักครั้ง) มองซ้ายมองขวา ทุกคนก็หันมามองที่ฉัน (อารมณ์แบบงงๆ ฮาๆพิกล) ก็เลยตอบท่านไปว่า ยังไม่เคยส่งเลยค่ะ ท่านก็เลยเรียกหมายเลข ๑๕๔ ที่ฉันถืออยู่ โห ตอนนั้น ดีใจสุดๆ ที่ได้รับโอกาสให้ส่งการบ้าน (ลั้นลาๆมิใช่น้อย)
แต่ตอนที่ท่านเริ่มเรียกให้หมายเลขต่างๆก่อนหน้าฉันส่งการบ้านนั้น เห็นได้ว่าอาการตื่นเต้นปนดีใจมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรียกหมายเลขใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น พอรู้สึกตัวก็เลย มาดูอาการตื่นเต้นของตัวเอง ดูไปสักพัก โดยที่ไม่ได้พยายามไปกดไว้หรือไปบังคับให้มันหายไป ก็นั่งดูมันไปเรื่อยๆแบบขำๆ สักพักอาการตื่นเต้นมันก็ค่อยๆลดลงไปเอง พอไมค์ส่งมาถึงมือ อาการตื่นเต้นก็หายไปจนเกือบหมด
ฉันได้ส่งการบ้านพระอาจารย์ไปว่า ฉันได้ฟังซีดีท่านมาระยะหนึ่งแล้วและได้ลองฝึกปฏิบัติตามซีดี ก็เพ่งบ้าง หลงบ้าง บางทีดูๆไปก็สนุกดี ไม่ทราบว่าที่ปฏิบัติอยู่นี้พอจะจับหลักได้ถูกหรือยัง ท่านตอบกลับมาทันทีว่า อืม เอาล่ะ เราเนี่ยร้ายมากเลย ให้ไปดูความร้ายของตัวเองนะ ร้ายมากๆ ร้ายจริงๆ มันร้ายแบบเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ ท่านย้ำคำว่าเราร้ายมากๆ อยู่ประมาณสามสี่รอบ คนขำกันใหญ่ ฉันก็ขำ นั่งฟังไปพยักหน้ารับคำไปว่าค่ะๆ พอท่านให้สัญญาณว่าให้ส่งไมค์ต่อไปยังหมายเลขถัดไป พอส่งไมค์ไปได้แป๊บหนึ่ง ยังไม่ทันจะถึงมือเขา ท่านก็หันมาบอกอีกรอบว่า เรานี่ร้ายจริงๆนะ เท่านั้นแหละ คนฮากันทั้งห้อง ฉันก็เหวอ..แล้วก็ขำมาก อายด้วยแต่ก็ขำด้วย ขณะเดียวกันก็สะใจมากเลย ประโยคคำสอนสั้นๆไม่กี่คำที่แสดงความจริงที่เป็น เปิดเผยให้เราเห็นตัวเราเองเช่นนี้มันถึงอกถึงใจมาก ฉันยืดอกรับความจริงอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกขอบคุณพระอาจารย์อย่างยิ่ง ที่มาช่วยชี้ทางให้ (เหมือนถูกเขกกะโหลกให้ตื่นแล้วตาสว่าง ท่านช่วยปลุกเราอย่างตรงไปตรงมา และมีเมตตายิ่ง เพราะการที่ใครสักคนจะมาบอกเราตรงๆถึงข้อเสียที่เรามีด้วยความกรุณานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย)
จากนั้นฉันก็นั่งดูจิตใจตัวเองไป คิดไปบ้าง รู้สึกตัวบ้าง เห็นอาการและความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป รู้สึกว่าการนั่งดูจิตต่อหน้าพระอาจารย์นี้มันทำได้ง่ายมากเลย พลังสติและความรู้สึกตัวมันเข้มข้นมาก ใจมันตื่นและเบิกบาน จะรู้สึกตัวได้ง่ายและบ่อยมาก(กว่าตอนอื่นๆ) ขณะที่นั่งดูจิตไป สลับกับฟังคนอื่นส่งการบ้านไป สักครู่ พระอาจารย์ก็หันมาพูดกับฉันว่า เออ นั่นแหละดูไปๆ เห็นไหมความร้ายมันจะค่อยๆคลายลงไปเอง (โห ดีใจๆ ขอบคุณพระอาจารย์ที่ให้ความเมตตาชี้แนะ) ฉันก็นั่งดูต่อไปอีก สักครู่หนึ่งท่านก็หันมาบอกอีกรอบว่า นั่นเผลอคิดแล้วเห็นไหม ฉันก็รู้สึกตัวพยักหน้าตอบรับ โอ้โห วันนี้ดีใจมากๆ ได้รับคำชี้แนะและความเมตตาเกินความคาดหมาย คือนอกจากจะได้ส่งการบ้านแล้ว ท่านยังกรุณาให้คำชี้แนะเพิ่มเติมอีกสองรอบ (ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองได้รับความใส่ใจและความเมตตามากๆ รู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก)
พอส่งการบ้านเสร็จในราวเก้าโมงสี่สิบห้า พระอาจารย์ก็บอกให้พวกเรากลับบ้าน ตอนเลิกจากธรรมะบรรยาย ฉันได้เจอกับพี่ที่รู้จักกันโดยไม่คาดหมาย ตอนแรกจำกันไม่ได้ แต่เขาจำได้หันมาทักฉันก่อน ก็เลยตื่นเต้นดีใจ คุยกันเสียงดัง เจอพี่ควิก (นามสมมติ ศิษย์รุ่นเดอะ) เดินเข้ามาชูป้าย “งดใช้เสียง” ตรงหน้าพร้อมกับถามว่า ใครเสียงดังๆๆ ฉันตกใจรีบก้มตัวหลบ พี่ควิกไม่ยอมแพ้ เอาป้ายมาจ่อตรงหน้า พร้อมพูดประโยคเดิมว่า ใครเสียงดังๆๆ ฉันเลยต้องยอมแพ้ บอกไปว่า ขอโทษค่ะ แหม แต่ว่าในใจตอนนั้นโกรธจี๊ดทีเดียว นั่นไง นางมารร้ายโผล่มาแล้ว ได้เห็นเลยว่า ที่ว่าฉันร้ายเนี่ยมันร้ายยังไง โทสะมันมาแรงจริงๆ มาแบบไม่ยอมไปง่ายๆ ประมาณโกรธแบบอาฆาต เจ้าคิดเจ้าแค้น คือไม่ได้คิดจะไปทำอะไรเขาหรอกนะ แต่มันจำแม่น จำขึ้นใจแบบไม่ลืมว่าคนๆนี้เคยทำอย่างนี้กับฉัน ฉันไม่ชอบมากๆ โกรธมากๆ อย่างที่ไม่คิดจะให้อภัยเขาอีก ชาตินี้อย่าได้มาใกล้หรือมาเจอกันอีกเลย
สุดยอด (ต้องอุทานว่า ซึโค้ย!) สภาวธรรมท่านมาแสดงตัว สอนให้เราดูให้เราเห็นตัวเองแบบทันอกทันใจมาก ฮ่าๆ เช้านั้นหลังจากปลาบปลื้มใจตอนที่ส่งการบ้านเสร็จ ก็เลยกลับบ้านไปแบบที่ยังเคืองๆพี่ควิกอยู่เลย (ตอนนั่งรถกลับจะมีโทสะผุดขึ้นมาสลับกับความปลาบปลื้ม ขึ้นอยู่กับว่าฉันเผลอคิดถึงเรื่องอะไร) แหม..ตอนนี้ที่เขียนถึงนี้ก็ยังมีแอบเคืองจี๊ดๆอยู่เลยนะเนี่ย ธรรมะแสดงตัวอีกรอบ ฮ่าๆ ก็ตามดูตามรู้ไป ดีๆ ทำความรู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ (ตอนเขียนบันทึกนี้ จิตมีอาการฟุ้งมิใช่น้อย แต่ก็สนุกดี เขียนไปขำไป ดูจิตไป)