Tuesday, December 4, 2007

เล่าสู่กันฟัง เรื่องการกลับไปเรียนหนังสืออีกรอบ



ห่างหายไปนานกว่าเดือนกับการเข้ามาอัพบล็อก เพราะว่ามัวแต่ไปเรียนหนังสืออยู่ ๑ เดือนเต็มๆ เราต้องตระเวณเรียนตามที่ต่างๆไปทั่วรวมแล้ว ๓ มหาวิทยาลัย คือ ม.เกษตร ม.นเรศวร และ ม.เชียงใหม่ เรียนกัน ๑๕ คนสำหรับรุ่นนี้ มีนักเรียนไทย ๑๐ คน นักเรียนแคนาดา ๕ คน และอาจารย์อีก ๓ ท่านจาก RRU คือ อ.Greg อ. Hrach และ อ.Hugh

เป็นประสบการณ์การเรียนที่สนุกมากๆเลย อาจารย์เก่งมากและตลกมากๆด้วย รับส่งมุขกันฮากระจายมาก ชอบวิธีการเรียนการสอนแบบนี้ คือสอนแบบตั้งคำถามให้คิด และไม่มีคำตอบสำเร็จรูปตายตัวเพียงคำตอบเดียว ทุกคำตอบล้วนเป็นไปได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ฐานคิดแบบไหนมาตอบ

อาจารย์จะนำเสนอทฤษฎีและบอกเล่าปรากฏการณ์แห่งความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในที่ต่างๆบนโลกใบนี้ เพราะอาจารย์แต่ละคนล้วนมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการจัดการความขัดแย้งระดับชาติและนานาชาติมาแล้วทั้งสิ้น จากนั้นอาจารย์ก็จะตั้งคำถามให้เราลองฝึกคิดและวิเคราะห์เอาว่า สาเหตุของความขัดแย้งในที่ต่างๆดังกล่าวน่าจะเกิดจากอะไรได้บ้าง มีใครเป็นผู้เกี่ยวข้องได้บ้าง และเราใช้ทฤษฎีหรือฐานคิดแบบไหนมาจับ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นั้นๆ อาจารย์จะมีหนัง มีวีดีโอให้ดู ทั้งเรื่องราวการประท้วงและการปฏิวัติในฟิลิปปินส์ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน Rwanda แม้จะดูแล้วรู้สึกหดหู่กับความทุกข์ยากของผู้คนที่เกิดขึ้นในแต่ละมุมโลก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่างานที่เราตั้งใจจะทำต่อจากนี้ไปเป็นงานที่สำคัญและมีคุณค่าต่อผู้อื่น คือ อย่างน้อยมันอาจช่วยลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้บ้าง(มั้ง?)

อย่างไรก็ดี แม้ว่างานและการบ้านจะหนัก นอนดึกเกือบทุกคืน ตี ๑ ตี ๒ (ปกติเด็กอนามัยอย่างเราแค่สี่ทุ่มก็ง่วงแล้ว) แต่บรรยากาศการเรียนตลอด ๑ เดือนนี้สนุกสนานมาก เราได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกเพียบเลย แถมเพื่อนที่ว่านี้รวมคุณครูทั้งสามคนด้วย เพราะคุณครูไม่ได้ทำตัวเหินห่าง แต่ทำตัวเป็นเพื่อนกับนักเรียน ที่สามารถเถียงกันได้ แซวกันได้อย่างเฮฮา โดยเฉพาะครู Hrach จะออกแนวโหด มัน ฮา มากๆ

กลับมาบ้านแล้วยังคิดถึงบรรยากาศการเรียนและเพื่อนๆอยู่เลยล่ะ (เหงาไปเลยวันนั้น ๑ วัน คือวันแรกที่กลับมาถึงบ้าน) ต้องกลับไปทำการบ้านแล้ว มีกำหนดต้องส่งเร็วนี้ด้วย อ๊ากกส์... แย่แล้ว ยังไม่ได้เริ่มเขียนการบ้านสักตัวเลยทำไงดีเนี่ย ไปก่อนดีกว่า

ป.ล. ต่อไปอาจต้องหัดเขียนบล็อกเป็นภาษาอังกิต จะได้ฝึกฝนวิชาไปในตัวด้วย

Friday, November 16, 2007

กลับมาเรียนหนังสืออีกแล้ว

ตัดสินใจกลับมาเรียนหนังสืออีกรอบ (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคิดถูกหรือเปล่า) คราวนี้มาเรียนสาขาการวิเคราะห์และการจัดการความขัดแย้ง เป็นการเรียนทางไกลกับมหาวิทยาลัย Royal Roads ที่แคนาดา

เริ่มเรียนมาได้สองอาทิตย์แล้ว เหนื่อยดี แต่ก็สนุก ต้องรื้อฟื้นภาษาอังกฤษกันใหม่อีกรอบ ได้เวลาเรียนแล้ว ไปก่อนดีกว่า

Sunday, October 28, 2007

Freedom Writers



กำกับโดย Richard LaGravenese
นำแสดงโดย Hilary Swank, Scott Glenn, Robert Wisdom


Freedom Writers เป็นหนังชีวิตซึ้งๆ ที่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ของคุณครู Erin Gruwell (รับบทโดย Hilary Swank) ที่เพิ่งจบมาและเริ่มสอนหนังสือเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยม Wilson High School และต้องเจอกับบรรดาเด็กแสบในชั้นที่ท้าทายเธอทุกวันด้วยความก้าวร้าว หยาบคาย กระด้างและไม่ใส่ใจเรียน

แต่ภายใต้ความก้าวร้าวรุนแรงที่ปรากฎอยู่นั้น เด็กเหล่านี้ซ่อนความเจ็บปวดและบาดแผลในชีวิตไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด แก็งค์อันธพาล การเหยียดผิวและเชื้อชาติ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและในชุมชนระดับล่างของสังคม เด็กบางคนเป็นเด็กที่ถูกภาคทัณฑ์บนไว้ แล้วส่งมาเรียนหนังสือที่นี่เพื่อประวิงเวลาไม่ให้เขาออกไปก่อปัญหาให้แก่สังคมภายนอกเร็วนัก

แต่ด้วยใจรักในการเป็นครูและต้องการจะช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ ในที่สุดคุณครู Gruwell ก็ได้จุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กเหล่านี้ ด้วยการให้พวกเขาเริ่มต้นเขียนเล่าเรื่องราวในชีวิตของพวกเขาออกมา อย่างที่เขาอยากจะเล่า เรื่องราวที่ไม่มีใครเคยรับฟังและถูกเพิกเฉยมาโดยตลอด


ในที่สุดเด็กทุกคนในชั้นเรียนนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เขารู้สึกว่าตนได้รับการยอมรับ รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญและสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและโลกใบนี้ได้ พวกเขาเริ่มมีความหวังและมีความฝันเพื่อสิ่งที่ดีกว่าในชีวิต จากเดิมที่เด็กเหล่านี้อาจจะจบออกไปแล้วกลายเป็นอันธพาลในชุมชน หลายคนเปลี่ยนแปลงตนเองกลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและใส่ใจต่อผู้อื่น บางคนได้กลับคืนสู่ครอบครัวหลังจากที่หนี-ถูกขับไล่ออกมา หลายคนเรียนต่อและกลายเป็นคนแรกในบรรดาสมาชิกในครอบครัวที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ฯลฯ

จากแรงบันดาลใจที่ได้รับจากกันและกันในการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้เอง ทั้งศิษย์และครูจึงได้ร่วมกันก่อตั้งชมรม Freedom Writers ขึ้น เพื่อช่วยเหลือเยาวชนอีกมายมายในสังคมที่อาจจะกำลังเดินหลงทางไป ให้กลับมาค้นพบคุณค่าที่มีอยู่ภายในตนเอง และเริ่มต้นสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นกับตนเอง และผู้คนรอบข้าง


นับว่าเป็นหนังดราม่าดีๆอีกเรื่อง ที่สามารถทำให้ดูไปก็ร้องไห้ไปด้วยได้ กับเรื่องราวและบทบาทของแต่ละคน เป็นเรื่องจริงที่สะเทือนใจแต่ก็สร้างแรงบันดาลใจในชีวิตได้มากมาย


ในเรื่องยังพูดถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วย เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นถึงความโหดร้ายของการแบ่งแยกกีดกันสีผิวและเชื้อชาติ และเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆนักเรียนที่มีปัญหารุนแรงเหล่านั้นได้รับรู้ว่า ยังมีคนที่ทุกข์ยิ่งกว่าตนเอง และท่ามกลางความสิ้นหวังและความทุกข์ยากของชีวิตนั้น พวกเขาสามารเลือกที่จะสร้างสิ่งที่ดีกว่าได้

หนังพูดถึงหนังสือเรื่อง "บันทึกลับของแอน แฟร้งค์" ด้วย ในฐานะที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆเหล่านี้ ทำให้เรารู้สึกว่าอยากอ่านเรื่องนี้ขึ้นมาตะหงิดๆเลยเชียว วันนี้โชคดีไปช่วยพี่จ๊ะย้ายของจัดตู้หนังสือ บังเอิญเจอหนังสือเรื่องนี้เข้าพอดี จึงได้ขอยืมพี่จ๊ะมาอ่านเสียเลย (แหมนับว่ายังพอมีบุญอยู่บ้างนะเนี่ย เพราะคิดอยากได้อะไร ก็ยังได้อย่างนี้อยู่ -- ขอบคุณค่ะ Universe)

ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ Hilary Swank เล่นได้ดีสมกับที่เป็นนักแสดงมือรางวัล แต่ที่เจ๋งยิ่งว่าคือบรรดานักเรียนที่มารับบทในเรื่องนี้ ทุกคนเป็นนักแสดงสมัครเล่น หลายคนไม่เคยเล่นหนังมาก่อนเลย แต่เล่นได้ดีสมบทบาท มีการสื่อสารทางสีหน้าแววตาได้ดีมาก ไม่แพ้นักแสดงมืออาชีพเลย และต้องนับถือผู้กำกับที่สามารถดึงพลังของนักแสดงแต่ละคนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม กำกับให้พวกเขาเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ตอนท้ายเรื่องเราจะได้เห็นตัวจริงของคุณครู Erin Gruwell ด้วย เธอยังคงทำงานสอนของเธอต่อไปด้วยใจรัก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ๆต่อไป

ถ้ามีโอกาสก็อยากจะแนะนำให้ลองไปหามาดูกัน หรือไปอ่านหนังสือบันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์ก่อนก็ได้ (อาจจะหาง่ายกว่าหนัง เพราะเรื่องนี้เป็นหนังนอกกระแส อาจจะหาดูยากอยู่สักหน่อย) สำหรับบางคนที่คิดว่าชีวิตนี้มันช่างแสนโหดร้ายและบัดซบ ดูหนังเรื่องนี้จบอาจพบว่าชีวิตก็ยังมีความหวังและมีเรื่องราวดีๆอีกมากมายซ่อนอยู่ให้เราไปค้นพบ


Genres: Drama, Adaptation, Biopic and Teen
Running Time: 2 hrs. 3 min.
Release Date: January 5th, 2007 (wide)
MPAA Rating: PG-13 for violent content, some thematic material and language.
Distributors: Paramount Pictures, United International Pictures

Wednesday, October 17, 2007

วันที่ฉันป่วย: ข้าพเจ้าทดลองความจริง


วันนี้ลาป่วยต่ออีกหนึ่งวัน เพราะมีอาการเจ็บคอ + ปวดหัว มึนๆเพลียๆ สะโหลสะเหลพิกล เราตั้งใจว่าจะไม่กินยาแต่จะลองใช้สูตรธรรมชาติบำบัดรักษาดู ด้วยการอดอาหารและนอนพัก (จิบน้ำเปล่าได้) ให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง โดยไม่แทรกแซงมากนัก ที่พอจะทำได้(แทรกแซง)คือ กลั้วคอด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือและมะนาว (หาน้ำอุ่นไม่ได้ก็เอาน้ำธรรมดานี่แหละ) แล้ิวก็นอนพักยาวเลย

จริงๆแล้วเมื่อวานมีไข้ด้วย แต่เมื่อคืนแอบเอาน้ำราดหัว เพราะไม่งั้นจะปวดหัวมากนอนไม่หลับเลย ปรากฎว่าไข้หายเป็นปลิดทิ้ง ช่วยให้หลับได้สบายขึ้นเยอะ แต่อันนี้ก็ผิดสูตร เพราะจริงๆแล้วธรรมชาติบำบัดถือว่าการมีไข้เป็นของดี เป็นการขับพิษขั้นสุดยอดของร่างกาย ยิ่งไข้สูงยิ่งดี เพราะแปลว่ากระบวนการขับพิษได้ทำหน้าที่ของมันเต็มที่ พอไข้ลดเองตามธรรมชาติ จะรู้สึกตัวเบาสบายสดชื่นมากๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน เป็นความรู้สึกสดชื่นภายใน ที่ยาลดไข้ขนานไหนก็สร้างให้ไม่ได้ (เคยใจแข็งอดทนทำได้หนหนึ่ง ก็พบว่าเออ ร่างกายนี่มันอัศจรรย์จริงๆแฮะ)

แต่ว่าช่วงไข้ขึ้นมันก็จะทรมานมาก ประหนึ่งลมปราณแตกซ่าน ธาตุไฟเข้าแทรก (สำนวนบู๊ลิ้ม) ร่ายกายอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุม เป็นช่วงพิจารณาธรรมะที่ดีมาก เพราะจะเห็นได้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันคือก้อนธาตุและกองทุกข์แท้ๆ แต่เราก็พิจารณาได้ไม่นาน เพราะอินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ก็เลยตัดสินใจใช้ทางลัด เอาน้ำราดหัวดีกว่า ไข้ลดอย่างฉับพลัน กระบวนการมันก็เลยดำเนินไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดของมัน

วันนี้ก็เลยยังมึนๆเพลียๆอยู่เลย กำลังรอดูอยู่ว่าไข้จะขึ้นอีกหรือเปล่า หรือว่าจะทรงๆอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ --- นึกถึงหนังสือข้าพเจ้าทดลองความจริงของคานธี แหม...ตอนนี้เราก็ขอแอบอ้างว่า เราก็กำลังทดลองความจริงของร่างกาย และสภาวะธรรมแห่งความไม่เที่ยงด้วยเหมือนกัน ฮะๆ

ตะกี้พี่นุชโทรมา บอกว่าเย็นนี้ถ้าไม่ติดธุระอะไรจะมาเยี่ยมพร้อมน้ำมะพร้าวหนึ่งลูก โห...ซาบซึ้งๆพี่นุชรู้ได้ไง ว่าเรากำลังคิดถึงน้ำผลไม้ และตามสูตรธรรมชาติบำบัดนั้น น้ำมะพร้าวเป็นสุดยอดของน้ำผลไม้ที่ช่วยในการฟื้นฟูกำลังเลยเชียว (แต่ถ้าไข้ยังไม่หายก็ยังไม่ควรกิน) ขอบคุณพี่นุชมากๆเลยนะคะ

อ้อเมื่อคืนพี่เล็กก็โทรมาถามด้วยความเป็นห่วง ขอขอบคุณพี่เล็กมากๆด้วยอีกคน เมื่อเช้าน้องหนิงก็โทรมาอวยพรให้หายเร็วๆ พร้อมกับบอกว่าจะช่วยจัดการเรื่องจดหมายให้ และน้องพรก็ส่ง message มาบอกให้หายเร็วๆด้วย ซาบซึ้งๆ ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกๆคนมากๆเลย จะพยายามรักษาตัวให้หายไวๆ จะได้กลับไปทำงานด้วยกันอีก

ขนาดป่วยๆอย่างนี้ยังไม่วาย หาเรื่องมาอัพบล็อกจนได้ คนเราไม่เจียมตัวเสียบ้างเรย...นิ

Sunday, September 23, 2007

ไปเจอเพื่อนเก่า

Link บล็อกของหมั่น เรื่องราวภัยคุกคามจากการพัฒนาที่เรามองไม่เห็น เป็นข้อเท็จจริงอันน่าสยองขวัญจากปากคำบอกเล่าของคนวงใน อยากเผยแพร่ให้ได้อ่านกันเยอะๆเพราะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มั่กๆ ต่อมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะชาวไทยและชาวระยองตาดำๆ อ่านแล้วสยองมากกก...

Friday, September 21, 2007

คุยกับเพื่อนเก่า: นักปีนเขา

วันนี้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่า ที่โคจรมาเจอกันอีกครั้งในรั้วสถาบันเดียวกันและได้ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อนเราทำงานที่นี่มา 5 ปีแล้ว เพิ่งได้รับตำแหน่งรองคณบดี คณะวิศวะฯ มาแบบหมาดๆ

แต่ถึงอะไรๆจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เขาก็ยังน่ารักเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ได้เจอกันเมื่อหลายปีก่อน (ตอนนั้นทำโครงการภาวนาของหมู่บ้านพลัมด้วยกัน) เขาบอกว่าเขาเป็นคนที่คุยเรื่องมีสาระได้ไม่เกิน 5 นาที (ฮ่า) เราละอยากเข้าไป sit in ในชั้นเรียนของเขาเสียนี่กระไร ท่าทางจะสนุกดี ชอบนักเชียวอาจารย์ที่พูดสาระได้ไม่เกิน 5 นาทีเนี่ย

เราคุยกันหลายเรื่อง มีทั้งเรื่องการทำงาน ความเป็นไปของสภาพชีวิต มิตรสหาย ฯลฯ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจ ก็คือ เราถามเขาว่า เขาเรียนมาทางด้านวิศวะตลอดตั้งแต่ป.ตรี แต่อะไรทำให้เขาหันมาสนใจด้านจิตวิญญาณ การพัฒนาด้านใน ชีวิตและการทำกิจกรรมเพื่อสังคมล่ะ

(ขอบอกก่อนว่าเพื่อนเราคนนี้ ตัวอยู่วิศวะก็จริง แต่ใจนะไปปฏิธรรม + ช่วยเหลือสังคมเรียบร้อยแล้ว หาตัวเขาที่คณะไม่ค่อยเจอหรอก -- เขาบอกว่ามันเป็นวิทยายุทธขั้นสูง ที่ต้องฝึกฝนอยู่สักหน่อย ---หมายถึงการหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยจากห้องทำงาน เพื่อไปทำอะไรบางอย่างที่ตนเองชอบและสนใจโดยไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อสถานะและการทำงานน่ะ)

เพื่อนบอกว่า ก็เพราะมันเกิดความทุกข์ครั้งใหญ่ในชีวิต จนแทบจะเอาตัวไม่รอด ตอนเรียน ป.เอกน่ะสิ (เขาได้ทุนไปเรียนป.เอกสาขาวิศวะฯ ที่เยอรมัน) รู้สึกท้อแท้มาก เขาเกิดคำถามหลายอย่างกับชีวิต ว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ทุกข์ทรมานด้วย? ทำไมเราต้องมาดิ้นรนไขว่คว้าปีนป่ายภูเขาสูงแบบนี้ด้วย? นอนอยู่กับบ้านเฉยๆก็ได้ ไม่สบายกว่าหรือ ? ฯลฯ"

ความทุกข์ที่ไม่อาจหาคำตอบได้จากสิ่งที่ทำอยู่ ผลักดันให้เขาหันหน้าเข้าหาการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

การปฏิบัติธรรม ทำให้เขาเห็นแง่มุมอะไรบางอย่างในชีวิต เห็นคำตอบบางประการที่เขาละเลยไป ทำให้เขาพบกับความสุขสงบภายใน เกิดการปล่อยวางมายาคติบางอย่างลงไปได้

ในที่สุดเขาก็สามารถกลับมาปีนเขาลูกนั้นได้อีกครั้ง อย่างสนุกสนานและมีความสุขมากกว่าเดิม เขาบอกว่าภูเขาลูกนั้นที่เคยดูว่าแสนจะชันนั้น มันก็เหมือนจะไม่ชันเท่าเมื่อก่อนแล้ว ในที่สุดเขาก็พิชิตเขาลูกนั้นได้ (เป็นภูเขาอีกลูกหนึ่งที่สำคัญและสุดแสนจะท้าทาย ในบรรดาเทือกเขาสูงทั้งหมด ที่เขาจะต้องเผชิญในชีวิต)

เมื่อมุมมองชีวิตเปลี่ยน สิ่งต่างๆภายนอกก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย หรือพูดในอีกแง่หนึ่งว่า เมื่อตัวเราเปลี่ยน ทุกสิ่งภายนอกก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนตามไปเองโดยธรรมชาติ (ทั้งๆที่ในสายตาของคนอื่น มันอาจจะดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย)

อันที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง/ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ได้ดีหรือเลวโดยตัวมันเอง แต่มันดี/เลวโดยการตัดสินจากมุมมองของตัวเราต่างหาก เมื่อมุมมองเปลี่ยน สิ่งที่เคยสุดแสนจะเลวร้ายในอดีต อาจกลับกลายเป็นพรอันแสนประเสริฐของชีวิตก็ได้ จากที่เคยก่นด่าประณามเหตุการณ์ต่างๆสารพัด(ที่เรารู้สึกว่ามันแสนจะเลวร้าย และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเรา) เราอาจจะกลับกลายเป็นการขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์เหล่านั้น ที่มันได้เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ได้

อาจารย์ทางธรรมของเราเคยกล่าวว่า แท้จริงไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวที่เป็นสิ่งเลวร้าย ทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปในวิถีทางของมันอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างมีเจตจำนงที่ดีงามและยิ่งใหญ่แฝงอยู่เบื้องหลัง

เมื่อไรก็ตามที่คุณภาพภายในจิตใจของเราเติบโตขึ้น เราจะสามารถมองเห็นและสามารถขอบคุณกับทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์ในชีวิตได้อย่างเบิกบาน (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูแย่หรือเลวร้ายมากมายเพียงใดในสายตาของคนอื่นๆ) เพราะเรารู้ว่าแท้จริงแล้วทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลและสมบูรณ์แบบในวิถีทางของมัน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ล้วนเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อวาระแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณของเรา ในวิถีทางอันแสนเฉพาะเจาะจงและสุดพิเศษ เพื่อตัวเราโดยเฉพาะ (เส้นทางนี้จะไม่มีวันซ้ำกับของใคร--และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ)

เพราะฉะนั้นขอให้ขอบคุณต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต (ไม่ว่ามันจะดูเลวร้ายเพียงไรก็ตาม เมื่อแรกเห็น) เพราะทุกเหตุการณ์ล้วนมีของขวัญล้ำค่าซ่อนอยู่ ยิ่งทุกข์นั้นใหญ่หลวงเพียงไร ของขวัญก็ยิ่งพิเศษเพียงนั้น

จนถึงตอนนี้ เพื่อนของเราก็ยังคงปีนเขาอยู่ อาจจะเป็นภูเขาลูกใหม่(ในเทือกเขาเดียวกัน) แต่เขาปีนด้วยความเบิกบาน และมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

ขณะเดียวกันเขาก็พบว่า แท้จริงแล้วเขายังมีเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน(แม้จะไม่มากเมื่อเทียบกับประชากรนักปีนเขาทั้งหมด) สหายเหล่านั้นล้วนปีนเขาอย่างเบิกบานเช่นกัน มันทำให้การปีนเขาสนุกขึ้นอีกมาก

อาจมีบางคนถามต่อว่า ก็แล้วทำไมต้องลำบากไปปีนเขาด้วย นอนเล่นอยู่กับบ้านไม่สบายและเบิกบานกว่าหรือ เราเองก็เคยคิด/ถามตัวเองคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน และเคยทดลองปล่อยให้ตัวเองนอนเล่นอยู่กับบ้านสบายๆมาแล้วพักใหญ่ๆ (โชคดี ที่ชีวิตยังมีทางเลือกให้นอนหยุดพักอยู่กับบ้านได้โดยไม่เดือดร้อนนัก)

และสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำแบบนั้นก็คือ เออ...จริงชีวิตโครตสบายเลย ไม่ต้องดิ้นรนเลย นอนเล่นอยู่กับบ้านแบบนี้ช่างแสนวิเศษ (เคยฝันว่าอยากจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว)

แต่ว่าพออยู่ๆไปสักพักก็พบว่า มันก็โครตน่าเบื่อมาก มันไม่ท้าทายเอาเสียเลย เราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ รู้สึกว่าทุกอย่างนิ่งและช้าลง รวมทั้งการเติบโตภายในของตนเองด้วย มันไม่เกิดการสร้างสรรค์อะไรใดๆที่ทำให้เรารู้สึกว่า ภาคภูมิใจและมีคุณค่ามากพอ ไม่เกิดความรู้สึกว่า "ใช่เลย นี่แหละสิ่งที่ฉันเป็น สิ่งที่ฉันทำได้ และจะทำได้ดียิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ได้อีกด้วย โอ้ ! ชีวิตช่างแสนสนุกและท้าทาย ฯลฯ"

เราคิดว่า การหยุดอยู่กับบ้านเพื่อนอนเล่นบ้างนั้นดีสำหรับการพักผ่อนเป็นระยะๆชั่วครั้งชั่วคราว คนเราควรมีวันขี้เกียจให้กับตัวเองบ้าง การได้อยู่อยู่นิ่งๆ และช้าลง เป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตเช่นกัน

แต่ถ้าจะพักตลอดไปก็คงไม่สนุก เพราะเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าบนภูเขาลูกนั้น มันมีสิ่งใดรออยู่ให้เราไปค้นพบ และจะไม่มีวันรู้เลยว่า ทัศนียภาพเบื้องล่างนี้ เมื่อมองจากบนภูเขาลูกนั้นมันจะแตกต่างไปจากเดิมเช่นไร ในที่สุดเราก็เลยกลับมาปีนเขาอีกครั้ง ภูเขาลูกนั้น...

Friday, September 14, 2007

The God of Small Things

เขียนโดย อรุณธตี รอย
แปลโดย สดใส
ตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก

เพิ่งมีโอกาสได้หยิบหนังสือ เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ (God of Small Things) มาอ่านหลังจากวางทิ้งไว้บนชั้นหนังสือนานนับเดือน ได้หนังสือเล่มนี้มาในฐานะของกำนัลจากเพื่อนผู้เป็น บ.ก.อยู่ที่สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก (ประมาณว่าเล่นเส้น) หาไม่แล้วข้าพเจ้าคงไม่มีโอกาสอ่าน เพราะเขาตีพิมพ์แค่ 1000 เล่มเอง (นัยว่ากะจะให้เป็นหนังสือหายากกระมัง)

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของโศกนาฎกรรมชีวิตอันแสนขมปนหวานขื่น ภายในครอบครัวของคู่แฝดสองคน คือ ราเฮลและเอสธา คู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ หน้าตาไม่เหมือนกันสักนิด แต่มีความผูกพันกันทางจิตวิญญาณและอัตลักษณ์อย่างลึกซึ้ง เช่นว่า คืนหนึ่งราเฮลเคยตื่นขึ้นมาหัวเราะขบขันให้กับความฝันสนุกๆของเอสธา หรือ สัมผัสได้ถึงรสชาติของแซนด์วิชมะเขือเทศ - แซนด์วิชของเอสธา - ที่เขากินบนรถไฟขนส่งไปรษณีย์สู่เมืองมัทราส

ฉากของโศกนาฎกรรมเรื่องนี้เกิดขึ้นในรัฐเคราลา ทางตอนใต้ของอินเดีย (เป็นบ้านเกิดของ อรุณธตี รอย ผู้เขียน) ดินแดนที่ชุ่มฉ่ำเขียวชะอุ่มและแสนจะชื้นแฉะในฤดูมรสุม

เรื่องราวทั้งหมดถูกบอกเล่า และรื้อฟื้นผ่านมุมมองและสายตาของฝาแฝดทั้งสอง

ดูเหมือนว่าโศกนาฎกรรมของครอบครัวและฝาแฝดในเรื่องนี้ จะเปิดฉากเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่การตายจากไปของ โซฟี โมล ลูกพี่ลูกน้องวัยเก้าขวบของพวกเขา

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็ถูกรื้อฟื้น ย้อนไปจนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของครอบครัว ความบาดหมางลึกๆในชีวิตคู่ของตา-ยาย ความไม่สมหวังในความรักในวัยสาวของป้า ที่ไปหลงรักบาทหลวงเข้า และตัดสินใจอยู่เป็นโสดมาจนถึงบัดนี้

จนกระทั่งมาถึงเรื่องราวของมารดาคู่แฝด ที่อาจหาญฝ่าฝืนจารีตประเพณี ด้วยการหนีไปแต่งงานกับชายที่เพิ่งจะพบหน้าไม่นาน และอาจหาญที่จะหย่าร้างกับเขา เมื่อพบว่าชีวิตการแต่งงานกับชายขี้เหล้านั้นแสนจะบัดซบ เมื่อซมซานกลับมาบ้านพร้อมลูกแฝดสองคน ก็กลับไม่ได้รับการต้อนรับจากครอบครัว และได้รับการปฏิบัติราวกับเธอไม่มีตัวตน หรือเป็นเพียงชนชั้นสองของครอบครัว

แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เพราะความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว เธอจึงได้มีความสัมพันธ์กับคนงานภายในบ้านซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นต่ำ เธอถูกลงโทษและถูกประณามจากครอบครัวและสังคมรอบข้างอย่างรุนแรง เธอมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากจนกระทั่งเสียชีวิตจากไปในที่สุดด้วยวัย 31 ปี ดังที่ราเฮลคำนึงถึงการตายในวัยนี้ของมารดาว่า

"ไม่สาว ไม่แก่ แต่แก่พอจะตายได้"

ฝาแฝดทั้งคู่ถูกจับแยกห่างออกจากกันนับตั้งแต่พวกเขาอายุเจ็ดขวบ และได้ย้อนกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่ออายุ 31 ปี ต่างได้พานพบเรื่องราว และประสบการณ์ซึ่งได้หล่อหลอมพวกเขาให้เป็น อย่างที่เป็นอยู่ ต่างมีบาดแผลร้าวลึกซ่อนอยู่ภายในจิตวิญญาณ

ราเฮลกลายเป็นคนที่ดูราวกับไม่แยแสสนใจสิ่งใด ใช้ชีวิตไปอย่างเรื่อยเปื่อย ในขณะที่เอสธา กลายเป็นคนเงียบงัน เบื้อใบ้ ราวกับว่าคำพูดทั้งปวงที่สูญหายไปจากชีวิตของเขาเสียสิ้น ทว่าทั้งคู่ยังคงมี ความทรงจำ มีดวงตาที่มองเห็นความงาม และความเป็นไปของโลก

หนังสือสอดแทรก ร้อยเรียง ประเด็นทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม ศาสนา วิถีชีวิต ความเชื่อ และทุกสิ่งประดามีในจักรวาลนี้เข้าด้วยกันเอาไว้ได้อย่างงดงาม กลมกลืน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งละอันพันละน้อยน้อยเพียงใดก็ตาม แต่เราจะสัมผัสรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของมันได้อย่างมีชีวิตชีวา

แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นโศกนาฎกรรม แต่มันก็มีความตลกขบขันและความสดใสแบบซื่อๆของเด็กๆสอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แม้จะเศร้าแต่เราก็ยังอมยิ้มไปกับตัวละครเหล่านี้ได้

ประทับใจกับภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ภาษาเพราะมาก ต้องชื่นชมผู้แปลคือ อ.สดใส มีความเชี่ยวชาญและใช้ภาษาได้อย่างสุนทรีย์ดื่มด่ำ เข้มข้น ช่างทำให้เราเห็นภาพได้ชัดและงามนัก เราจะสัมผัสได้ถึงกลิ่น รส เสียง ผัสสะ อายตนะทั้งหมดของเราจะตื่นฟื้นขึ้นด้วยถ้อยคำเหล่านั้น อ่านหน้าแรกก็ชอบเลย ดังตัวอย่างในบางตอนที่จะยกมาให้ชิมกัน

"เดือนพฤษภาที่อเยเมเน็ม อากาศร้อนชื้น อบอ้าวนาเซาซึม แต่ละวันช่างยาวนาน น้ำในแม่น้ำค่อยๆลดระดับ มะม่วงยืนต้นนิ่ง ใบเขียวเคล้าฝุ่น ฝูงการุมสวาปามผลผิวมันปลาบของมัน กล้วยแดงสุก ขนุนปริ แมลงวันหัวเขียวเมามึน กรีดปีกอื้ออึงอยู่กลางบรรยากาศอวลกลิ่นผลไม้ สุดท้ายบินชนกระจกหน้าต่าง ตายสนิทอยู่กลางแดด"


หรืออีกตอนหนึ่งที่ว่า

" ...เอสธัปเปนกับราเฮลได้เรียนรู้แล้วว่าโลกมีวิธีอื่นที่จะทำลายมนุษย์ได้ พวกเขาคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ดี หวานอมขม เหมือนดอกกุหลาบแก่เก่ากลางสายลม"

หนังสือเล่มนี้โด่งดังมาก (อันที่จริงเขาเขียนออกมาตั้ง 10 ปีแล้วเห็นจะได้ แต่บ้านเราเพิ่งจะมีโอกาสได้นำมาแปล) เป็นหนังสือนวนิยายเล่มแรกและเล่มเดียว ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ อรุณธตี รอย ผู้เขียน เธอได้รับรางวัล Booker Prize จากเรื่องนี้ และเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์และแปลเป็นภาษาต่างประเทศแล้วกว่า 30 ภาษาทั่วโลก

ขอยกบางตอนของคำวิจารณ์มากล่าวปิดท้ายไว้ดังนี้

"จุดเด่นของนวนิยายเรื่อง The God of Small Things นอกจากการสร้างตัวละครแต่ละตัวอย่างละเอียดล้วงลึก และความสมเหตุสมผลของการผูกเงื่อนชะตากรรมของตัวละครอย่างแน่นหนาแล้ว ยังอยู่ที่วิธีการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และการใช้ภาษาอันอุดมด้วยจินตภาพ ทั้งแสง สี เสียง กลิ่น รส การใช้ภาพพจน์อุปมา อุปลักษณ์ และสัญลักษณ์ อย่างแพรวพราว แปลกใหม่ และไม่จำกัด จนกล่าวได้ว่า อรุณธตี รอย นักเขียนสตรีชาวอินเดียผู้นี้ เป็นสถาปนิกแห่งถ้อยคำ"

วิจารณ์โดย รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ นักวิจารณ์วรรณกรรม, รศ.ประจำภาควิชาภาษาไทย ม.รามคำแหง

Conversation with God book I

เมื่อเช้าเปิดหนังสือ Conversation with God เพื่อหาแรงบันดาลใจให้ชีวิต (พักนี้รู้สึกแย่ๆพิกล) เจอข้อความดังต่อไปนี้ (ดีจริงๆเลยน้า)

A true Master is not the one with the most students, but one who creates the most Masters.

A true leader is not the one with the most followers, but one who creates the most leaders.

A true king is not the one with the most subjects, but one who leads the most to royalty.

A true teacher is not the one with the most knowledge, but one who causes the most others to have knowledge.

And a true God is not One with the most servants, but One who serves the most, thereby making Gods of all others.

For this is both the goal and the glory of God: that His subjects shall be no more, and that all shall know God not as the unattainable, but as the unavoidable.

Wednesday, August 22, 2007

คุยกับเพื่อนเก่า (ศิษย์ผู้พี่)


มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเก่า ซึ่งข้าพเจ้ามักเรียกสหายท่านนี้ว่า ศิษย์ผู้พี่ (ฉายา หวูเว่ย) หลังจากไม่ได้ติดต่อกันนานนับเกือบ 3 ปี

พี่ท่านโทรมาเพื่อบอกว่าขออภัยที่ไม่ได้ตอบบัตรอวยพรปีใหม่ที่ข้าพเจ้าส่งไปให้ท่านทุกปี

พี่ท่านบอกเล่าเรื่องราวชีวิตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ว่าไปทำร่วมทำกิจกรรมสนับสนุนเด็กๆในโรงเรียนต่างๆ เพื่อการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน แต่ทำไปทำมากลับถูกผู้คนรอบข้างมองว่า มาทำดีหวังผลประโยชน์ คิดจะเล่นการเมืองหรือเปล่า ทำไมต้องมาทุ่มเทมากขนาดนี้ รวยอยู่แล้วก็อยู่ส่วนรวย ก็เป็นนายทุนไปมายุ่งอะไรด้วย ฯลฯ แม้จะมีเจตนาดีและบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อถูกกระแสกดดัน และเสียงสะท้อนแง่ลบมากๆเข้า ก็เลยตัดสินใจหยุด

พี่ท่านมีปรัชญาชีวิตประจำตัวที่น่าสนใจ คือ หวูเว่ย - กระทำโดยไม่กระทำ ท่านใช้หลักการนี้ในการบริหารธุรกิจและโรงงานเครื่องเรือน (ส่งออก) ของท่านด้วย คือการบริหารด้วยความกรุณาและความเข้าใจพนักงานในโรงงาน มากกว่าที่จะไปออกกฎระเบียบอะไรต่างๆให้มากมาย ท่านไม่พูดมาก ไม่กระทำมาก ท่านเชื่อว่าทุกคนรู้และเข้าใจดีอยู่แล้วว่าตัวเองต้องทำอะไร หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของแต่ละคนคืออะไร ในฐานะที่เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นชุมชน

ท่านบอกว่าความกรุณานั้น ไม่ใช่แค่พูด เพราะมันพูดไม่ได้ แต่ความกรุณาคือสิ่งที่เราต้องเป็น หากเราเป็นความกรุณาแล้ว แม้เราไม่พูดสักคำแต่ทุกคนรอบข้างก็จะสัมผัสรับรู้ได้

ท่านไม่ได้จบเอ็ม บี เอ มาจากไหน และไม่เชื่อในหลักการแนวคิดแบบเอ็ม บี เอ ที่เราไปเอามาจากฝรั่ง แต่ท่านเชื่อในหลักการของจักรวาล คือ หลักของความอนิจจังและ หลักของความกรุณา ท่านบอกว่าเห็นหลายคนที่ไปเรียน เอ็ม บี เอ กลับมาแล้ว มีสีหน้าแห้งแล้งยิ่งกว่าเดิม รู้สึกราวกับตนเองอยู่ในทุ่งนาเวิ้งว้างที่แวดล้อมไปด้วยควาย คือ มองว่าคนอื่นๆโง่เหมือนควายหมดเลย แล้วก็รู้สึกว่ากูรู้อยู่คนเดียว แล้วกูจะไปทำอะไรได้ แล้วก็พาลสิ้นหวังในชีวิตและวิถีธุรกิจ(ที่น่าจะมีชีวิตชีวา) ท่านบอกว่า เอ็ม บี เอ ที่ดีมันต้องทำให้คนเรียนจบกลับมาแล้ว รู้สึกฮึกเฮิม มีความหวัง มีความเชื่อมั่นในศักยภาพความเป็นมนุษย์ของเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมโลก มากกว่าที่จะทำให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังและหวาดกลัว

โรงงานของพี่ท่านไม่มีระบบ คิวซี ที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่พี่ท่านใช้วิธีคุยกับพนักงาน แล้วถามพนักงานผู้เป็นที่รักยิ่งว่า

"ไอ้โต๊ะตัวนี้ (หรือเก้าอี้ตัวนี้) ที่มึงทำออกมาน่ะ ถ้ามึงเป็นคนซื้อ มึงจะซื้อหรือเปล่า?" "ถ้ามึงซื้อ คนอื่นเขาก็ซื้อเหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าแม้แต่ตัวมึงเอง (ที่เป็นคนทำออกมากะมือ)ยังไม่ซื้อ แล้วใครมันจะไปซื้อเล่า?"

ท่านบอกว่า ระบบคิวซี ที่ดีที่สุดก็คือ ระบบที่อยู่ในจิตสำนึกของตัวพนักงาน คนที่อยู่ในสายพานการผลิตนั่นเอง ให้พนักงานนั่นแหละเป็นคนคิวซีผลงานของตัวเอง

ท่านบอกว่าโรงงานของท่านเป็นโรงงานขนาดเล็ก (พนักงานประมาณ 800 คน) และท่านใช้หลักการนี้มาตลอดจนทุกวันนี้ ธุรกิจก็ไม่เจ๊ง นั่นแปลว่าหลักการนี้มันใช้ได้ผลจริง (มันเวิร์คครับท่าน) และมันไม่มีต้นทุนทางวัตถุดิบ (แต่แน่นอนว่าต้องมีต้นทุนทางใจสูงมาก) มีโรงงานที่ใหญ่กว่านี้หลายแห่งเจ๊งไปมากมายแล้ว

ลูกค้าญี่ปุ่นหลายรายที่เคยปรามาสพี่ท่านว่าทำแบบนี้ไม่นานก็ต้องแย่ แล้วหันไปหาโรงงานที่ใหญ่กว่า แลดูดีมีมาตรฐานกว่า ในที่สุดเมื่อโรงงานเหล่านั้นเจ๊ง ลูกค้าเหล่านี้ก็หวนกลับมาหาพี่ท่าน พร้อมกับบอกว่าตอนนี้เข้าใจแล้ว พร้อมใจกลับมาซื้อสินค้าของพี่ท่านโดยไม่ต่อรองราคาแม้แต่น้อย ทั้งยังบอกว่า "ราคาของคุณ คือต้นทุนของผม"

พี่ท่านยังเชื่อในหลักการ ครอบครองโดยไม่ครอบครอง พี่ท่านได้ปรับใช้หลักการนี้กับวิถีชีวิตประจำวันทั่วๆไปด้วย เช่น ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องขับเฟอร์รารี่ แต่ก็สามารถมีความสุขเหมือนหรือยิ่งกว่าคนที่ขับเฟอร์รารี่ได้

พี่ท่านว่า คนที่ขับเฟอร์รารี่จริงๆนั้นเขาอาจจะไม่มีความสุขเท่าใดนักก็ได้ เพราะรถมันคันใหญ่จะจอดทีก็ต้องระวังแล้วระวังอีก จอดดีไม่ดีก็อาจเป็นรอยขูดขีดให้เสียราคา แถมเวลาขับโฉบไปมาคนอื่นๆก็อาจจะพาลหมั่นไส้เอา เกิดรถหายขึ้นมาก็ยิ่งแย่หนัก เพราะรถหรูๆราคาแพงๆ ย่อมเป็นที่หมายปองของหมู่โจร

หลักการนี้ยังใช้ได้ดีสำหรับความรัก ท่านบอกว่า หากคุณรักใครสักคน มันไม่จำเป็นที่คุณจะต้องครอบครองเขาเลย การรักโดยไม่ครอบครองนั้นเป็นสุขยิ่งกว่า การได้ครอบครอง และคำว่า "รัก" นั้นไม่จำเป็นต้องพูด และไม่สมควรพูดอย่างยิ่ง เพราะมันกลายเป็นคำที่ถูกใช้กันจนเฝือ ไร้ความหมายที่แท้ไปแล้ว ทั้งยังมีนัยยะของการ "ครอบครอง" อย่างยิ่ง

ท่านบอกว่าที่ยิ่งใหญ่กว่าคำว่า "รัก" คือ คำว่า "เข้าใจ" ถ้ามีใครสักคนบอกคุณอย่างลึกซึ้งว่า เขา "เข้าใจ" คุณ นั่นแปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเขามันยิ่งใหญ่กว่าคำว่ารักเสียอีก

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ท่านบอกเล่า พูดคุย แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ข้าพเจ้าจึงต้องจำต้องจบการอัพเดตบล็อกวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้

ก่อนจบ ท่านอาจต้องถามตนเองว่า วันนี้ มีใครบอกว่า "เข้าใจ" ท่านบ้างหรือยัง แต่ท้ายที่สุดแล้วคำถามที่อาจสำคัญกว่านั้นคือ วันนี้ ท่านได้บอกใครบางคนว่า "เข้าใจ" เขาบ้างหรือยัง (ฮิ้ว)

Tuesday, August 21, 2007

ดูจิตด้วยความรู้สึกตัว: เย็นลงแล้วล่ะ

เช้าวันถัดมาหลังจากอาการจี๊ดเราก็รู้สึกสงบสติอารมณ์ลงได้มากแล้ว สบายใจขึ้นมากแล้วก็ได้มีโอกาสคุยกับพี่นุช ฟังพี่นุชสะท้อนเรื่องนี้ เราปรึกษากับพี่นุชว่า จริงๆแล้วเราควรจะบอกน้องเขาดีหรือเปล่า เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พี่นุชแนะว่าถ้าบอกได้ด้วยความเมตตาจะดีมาก เพราะจะเป็นทั้งการเกื้อกูลทั้งตัวเขาและตัวเรา ในการอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันด้วย มันจะดีกว่า จะก่อให้เกิดบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรกัน มากกว่าที่จะเก็บเอาไว้แล้วก็ขุ่นๆ สะสมกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งอาจทนไม่ได้ จนมองหน้ากันไม่ติดขึ้นมา

และบางทีสิ่งที่น้องเขาทำลงไปนั้น เขาอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่าไปทำให้เราขุ่นเคือง เขาอาจจะไม่คิดอะไรเลยก็ได้ มันอาจเป็นบุคลิกตามธรรมชาติของเขา ซึ่งกระทบกับผู้อื่นโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่หากมีกัลยาณมิตรสักคน ที่กล้าหาญพอที่จะเตือนหรือบอกให้เขารู้ตัวในจุดนี้ มันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวของน้องเขามากๆก็ได้

เหมือนอย่างที่พี่นุชเคยได้รับมาแล้วจากเพื่อนคนหนึ่ง และยังรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนั้นมาจนถึงบัดนี้ ที่กล้าบอกกับพี่นุชตรงๆด้วยความเมตตา เป็นเพื่อนคนเดียวที่ยังจำชื่อได้แม่นจนถึงวันนี้ (ในขณะที่ลืมชื่อเพื่อนคนอื่นๆไปเกือบหมดแล้ว ฮา)
การบอกครั้งนั้น มีส่วนทำให้พี่นุชเปลี่ยนแปลงท่าที และลักษณะนิสัยของตัวเองไปเยอะเลย

เราเองเมื่อก่อนก็นิสัยแย่มาก (ตอนนี้ก็ยังแย่อยู่ แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย) หน้าตาบูดบึ้ง มีกิริยาอาการหยาบกระด้างไม่น่าเข้าใกล้เอาเสียเลย แต่เราโชคดีที่ได้พบกับอาจารย์ในทางธรรมที่มีเมตตาสูง (คือ อาจารย์วรรณี ) ท่านได้มาช่วยขัดเกลาและตักเตือนเราอย่างตรงไปตรงมาด้วยความอดทน เกี่ยวกับนิสัยเสียๆของเราหลายอย่าง แน่นอนว่าในหลายๆครั้งที่ท่านบอกนั้น มันก็เจ็บ มันปวดแสบปวดร้อน ทรมานที่จะฟัง และมันก็ตีอีโก้ของเราเสียแหลกไปเลย ฟังตอนแรกก็รับไม่ได้ ร้องไห้โฮฮาไปหลายวันและโกรธอาจารย์มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับปรากฏว่าคำเตือนของอาจารย์นั้นมีประโยชน์ มีคุณต่อตัวเราเองจริงๆ จนในที่สุด เราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัย และบุคลิกหลายๆอย่างของตัวเองไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์มากๆ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

หลังจากเหตุการณ์จี๊ดผ่านไปได้สักสองวัน เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องแสนดีอย่างตรงไปตรงมา ในภาวะที่อารมณ์ของเราเย็นลงมากแล้วไม่โกรธไม่จี๊ดแล้ว เป็นการพูดคุยด้วยสติมากขึ้นไม่ใช่ด้วยความโกรธ สามารถสบตามองหน้าเขาได้อย่างเปิดเผย ไม่มีอาการตะหงิดๆหรือขุ่นเคืองใดๆอีก ตอนก่อนจะพูดก็ประหม่าตื่นเต้นเหมือนกันว่าจะพูดยังไง ท่าไหนดี ที่จะไม่ทำให้น้องเขารู้สึกแย่ แต่สามารถเห็นได้ว่าเราบอกด้วยความปรารถนาดีไม่ได้มีเจตนาร้าย

จริงดังคาด เมื่อเราถามน้องเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าเขาไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เราก็พอจะเข้าใจได้ เพราะหลายๆครั้ง เราก็ทำอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีลงไปโดยไม่รู้ตัวเลย แต่ก็มีโอกาสได้บอกเล่าให้น้องเขาฟังว่า เรารู้สึกอย่างไรบ้างในเช้าวันนั้น และเราคิดว่าเราน่าจะบอกน้องเขาตามตรง ดีกว่าเก็บสะสมความไม่พอใจเอาไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ระเบิดออกมาแล้วมองหน้ากันไม่ติดอีกเลย เพื่อที่ว่าเราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข หรือป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก เพราะเรายังต้องทำงานไปด้วยกันต่อไปอีกนาน (ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนานเท่าไร อาจไม่นานมากก็ได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเราเองแหละ ว่าจะเปลี่ยนงานอีกไหม)

แล้วเราก็สะท้อนทั้งข้อดีและข้อที่เราเห็นว่าน่าจะแก้ไข จากมุมมองของเราเกี่ยวกับตัวของน้องเขา ให้เขาทราบ

แล้วก็ถามความเห็นว่าเขาด้วยว่า เขารู้สึกอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คิดว่ามันจริงหรือไม่จริงอย่างไรต่อมุมมองที่เราสะท้อนให้เขาฟัง เพราะมันคงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับทั้งสองฝ่าย ถ้าเราไปบอกให้เขาเปลี่ยนหรือปรับปรุง ในสิ่งที่เขาเองไม่เห็น ไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับ แต่ถ้าเขาเห็นเหมือนกันหรือเห็นร่วมกันอย่างที่เราเห็น มันก็ง่ายกว่าที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ในความสัมพันธ์ต่อไป

ในที่สุดเราก็ได้ข้อสรุป/ข้อตกลงร่วมกันว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นอีก ไม่ว่าจะจากฝ่ายใดก็ตาม(เพราะบางทีอาจเป็นเราก็ได้ ที่เป็นฝ่ายทำให้คนอื่นจี๊ด) เราขออนุญาตเตือนกันและกัน ด้วยการถามว่า "พี่ -- / น้อง -- เป็นอะไรหรือเปล่า?" เพื่อเป็นการสะกิดให้อีกฝ่ายหนึ่งได้คิดว่า เออ ตะกี้เราทำอะไรลงไป หรือพูดอะไรออกไป ที่ไปกระทบคนอื่นบ้างหรือเปล่าหนอ? เพื่อจะได้หยุดและสงบใจ แล้วเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือพฤติกรรมเสียใหม่ในบัดนั้น เพื่อไม่ให้ก่อการทำร้ายหรือกระทบกระทั่งกันไปมากกว่านี้

มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ คนเราจะคบกัน จะอยู่ด้วยกันได้ยาวนาน (ทั้งในแง่ของมิตรภาพ และชีวิตคู่) จะให้อภัยกันได้มากน้อยแค่ไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับคุณงามความดีที่มีในตัวของกันและกันด้วย ความดีต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญ ไม่ใช่ความเก่ง ความฉลาด ความสวย ความหล่อ หรือฐานะการงานใดๆ เลย

อย่างกรณีนี้ที่เราสามารถให้อภัยน้องเขาได้รวดเร็ว (ภายในหนึ่งวัน --ถือว่าเร็วแล้วล่ะสำหรับคนขี้โกรธอย่างเราอ่ะนะ) เพราะเราระลึกได้ถึงคุณความดีที่มีอยู่ภายในตัวของน้องเขานั่นเอง พอมองเห็นความดีของเขาที่มีมา พลังความโกรธ ความขุ่นเคืองมันก็ลดลง อ่อนกำลังลงไปเอง

อีกเรื่องคือ การมีกัลยาณมิตรที่ดี ที่มาช่วยตักเตือนเราได้ถึงข้อบกพร่อง ข้อเสียของเราได้ อย่างตรงไปตรงมา และด้วยความมีเมตตานั้น ถือเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของชีวิต เขาคือผู้บอกขุมทรัพย์ของเรา แท้จริงแล้ว การมีมิตรแท้--การมีกัลยาณมิตร นั่นแหละคือ การมีขุมทรัพย์แห่งชีวิต

ประการสุดท้าย การกระทำอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยเราได้มาก คือ การได้บอกเล่าเรื่องราว ทบทวนตัวเอง ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาผ่านการเขียนนี่เอง

กรณีนี้การพูดระบายให้คนอื่นฟังก็อาจช่วยได้ แต่สำหรับกรณีของเรา การเขียนช่วยได้มากกว่าการพูด เพราะเราจะนิ่งมากกว่า และฟังเสียงความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้ชัดกว่า มีการไตร่ตรองมากกว่า การพูดระบายออกไป

อีกอย่างเรายังไม่มีใครที่สนิทมากพอ ที่จะพูดระบายเรื่องนี้ออกไป ให้เขาฟังได้อย่างตรงไปตรงมาด้วยละมั้ง แล้วก็จะหาคนที่จะมีเวลามากพอ มีความเมตตา ความอดทนและมีความเข้าใจมากพอ ที่จะมานั่งฟังปัญหาของเราอย่างไม่ตัดสินถูก-ผิดนั้น ก็คงหาได้ไม่ง่าย ฮะๆ

และต่อไปเมื่อเราเติบโตขึ้นมากกว่านี้ พอลองย้อนกลับมาอ่านงานเขียนเก่าๆ เราอาจได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ต่างจากตอนนั้น (ตอนที่เขียน)ซึ่งเราอาจมองข้ามไปก็ได้ หรืออาจจะหัวเราะกับมันได้โดยไม่รู้สึกแย่กับมันอีกเลย หรืออาจจะทึ่งและนับถือตัวเองขึ้นมา อย่างไม่น่าเชื่อว่า ตอนนั้น ฉันคิดแบบนี้ได้ไงฟะเนี่ย (อันนี้คงเป็นกรณีที่ การเติบโตของเรามันถดถอยลง)

Wednesday, August 8, 2007

ดูจิตด้วยความรู้สึกตัว: วันนี้จี๊ดมาก


วันนี้ตอนเช้าจี๊ดสุดๆ ความโกรธและความไม่พอใจพุ่งปรี๊ด และยังคงดำเนินต่อเนื่องแบบกรุ่นๆ มาตลอดวัน จนถึงตอนนี้ที่กำลังเขียนอยู่

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเช้าตอนนั่งทำงานกันอยู่ เรานึกขึ้นมาได้ถึงงานที่มีคนฝากตามเรื่องมากับน้องคนหนึ่ง เราก็ตะโกนข้ามโต๊ะถามน้องคนนั้นที่นั่งอยู่ฟากตรงข้ามของห้อง (นั่งห่างกัน 4 - 5 เมตร) สมมติว่าชื่อน้องแสนดีละกัน เราถามว่า "เออ แสนดีส่งรูปไปให้ทีมนักวิ่งหรือยัง วันก่อนพี่ธงไชย (นามสมมติ)โทรมาบอกว่ายังไม่ได้รับรูปเลย"

แสนดีซึ่งในขณะนั้นอาจจะกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างอยู่ หรือไม่ก็อาจจะกำลังยุ่ง-เครียดกับงานอยู่ (ก็เดาเอาน่ะ อิฉันก็มิอาจตรัสรู้ได้ว่าเจ้าหล่อนกำลังอยู่ในภาวะเช่นไร) ก็ตะโกนสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญว่า "แสนดีส่งไปแล้ว ส่งไปให้ตั้งนานนนนนแล้วค่ะ (เธอเน้นคำว่า "นาน" เป็นพิเศษ ด้วยน้ำเสียงลากยาวและหนัก)" น้ำเสียงหงุดหงิดอย่างรู้สึกได้ชัด

พอได้ยินเสียงตอบเราก็เริ่มรู้สึกจี๊ดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว สมองอิฉันประมวลผลอย่างรวดเร็วมาก ว่า "เอ๊ะ กรูถามดีๆทำไมตอบเสียงหมาๆอย่างนี้ฟะ"

แต่ก็ถามต่อไปว่า "อ้าวเหรอ แต่เขาบอกว่ายังไม่ได้รับเลยนะ ส่งไปไม่ถึงหรือเปล่า เพราะส่งไฟล์ภาพใหญ่ๆไปส่วนใหญ่จะมีปัญหานะ"

เธอก็สวนกลับมาอย่างรวดเร็วว่า "ส่งไปแล้วค่ะ และคิดว่าถึงด้วย เพราะไม่เห็นมีอีเมลตีกลับมาเลย แสนดีส่งตรงไปที่อีเมลพี่นักวิ่งน่ะ" ด้วยน้ำเสียงประมาณว่าฉันรู้น่ะ ฉันทำเป็น ไม่ต้องมาสอนหรอก

โห เราอยากสวนกลับไปมากว่า "แล้วเอ็งโทรไปเช็คกับเขาแล้วรึว่ามันถึงแน่ เอ็งถึงได้มั่นใจขนาดนั้นน่ะ แล้วตอนที่เอ็งส่งรูปไป เอ็งได้โทรบอกเขาปล่าว"

แต่ด้วยอาการหงุดหงิดและรู้ตัวแล้วว่ากำลังโกรธแล้วเฟ้ย ขืนพูดยาวๆต่อได้เป็นเรื่องแน่เลย เราก็เลยตัดบทไปว่า " เดี๋ยวแสนดีช่วยส่งรูปมาให้เราด้วยก็แล้วกัน" ตอนนั้นคิดในใจว่า เออ เดี๋ยวฉันส่งไปให้เขาอีกทีเองก็ได้

ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนประชุมกันต่อช่วงสายๆ เราก็ถามอาจารย์เรื่องงบการจัดอบรมงานมหกรรมสันติฯ ซึ่งเป็นส่วนที่เราช่วยประสานงานอยู่ ทำนองว่า ถ้าองค์กรที่เราเชิญมาร่วมจัดบอกว่าไม่มีเงิน แล้วขอให้เราช่วยออกให้ล่ะคะ อาจารย์จะว่าอย่างไร (เราก็รู้อยู่แล้วแหละว่าหลักการคือ ไม่ออกให้ แต่อยากได้ยินคำยืนยันจากปากอาจารย์อีกที เพราะองค์กรนี้อาจารย์เป็นคนเสนอและคะยั้นคะยอให้เชิญมาเอง) อาจารย์ก็ตอบแบบฟังธงตรงตามคาดว่า ไม่ได้หรอก หลักการมีชัดเจนอยู่แล้วก็ให้ทำไปตามนั้น

น้องแสนดีเธอก็พูดแทรกขึ้นมาต่อทันทีว่า "และอย่าลืมนะคะว่าเรามีเงินเหลืออยู่แค่สองแสนแปด" ฉันก็หันไปมองหน้าเธอทันทีด้วยสีหน้าประมาณว่า "อะไร สองแสนแปดอะไร (อะไรของเอ็ง--ยุ่งอะไรด้วยเนี่ย)?" รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตะหงิดๆอีกหน ประมาณว่าไม่ใช่เรื่องของเธอเลยนะยะ ฉันไม่ได้อยากจะรู้ตัวเลขของเธอ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเงินมีไม่มาก

แล้วเราก็ขุ่นๆๆๆ ไม่พอใจและหงุดหงิดเรื่องน้องแสนดีคนนี้ต่อมาอีกทั้งวัน ทุกทีที่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงก็จะเซ็งมากๆ แล้วเรื่องอื่นๆอีกสารพัดในความทรงจำ ที่เคยรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจกับน้องคนนี้ ก้อหลั่งไหลต่อเนื่องพากันเรียงหน้ากระดานมาให้เห็นอีกเป็นสาย เป็นชุดๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลหงุดหงิด ไม่พอใจ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เราก็นั่งตุ๋นๆๆๆอารมณ์โกรธ หงุดหงิดและไม่พอใจนี้ให้ตัวเองกินมาทั้งวัน มากบ้างน้อยบ้าง (สงสารเซลส์ในร่างกายแย่เลย ตายแล้วนี่ฉันคงจะแก่ลงไปอีกหลายปี เซลส์ฉันคงจะตายก่อนอายุขัย เพราะพิษของความโกรธชนิดนี้ของตัวเองแน่ๆเลย)

เราคิดถึงขนาดว่าจะขอพูดเปิดอกกันตรงๆไปเลยดีไหม ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไรกับเธอบ้างในตอนนี้ ฉันเห็นว่าเธอเป็นคนอย่างไร และเธอได้ทำอะไรหรือมีท่าทีอย่างไรที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดบ้าง

ขอบอกว่าน้องคนนี้เขาเคยเข้าอบรม NVC - การสื่อสารด้วยรักและสันติ มาแล้ว (มันเอามาใช้ตรงไหนบ้างไหมเนี่ย)

แต่เราก้อรู้ตัวดีว่า ถ้าพูดไปตอนนี้ก็จะเป็นการพูดด้วยความโกรธ ด้วยความหงุดหงิดของเรา ไม่ได้พูดด้วยจิตใจที่ปรารถนาดีหรือเมตตาใดๆทั้งสิ้น (ในแง่ว่าตักเตือนด้วยเมตตาและปรารถนาอยากเห็นเขาดีขึ้น) และแน่นอนว่าผลลัพธ์ของมันก็จะออกมาเป็นลบแน่นอน ไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย ก็เลยข่มใจไว้ไม่ได้พูดอะไร ต้องมาหาทางระบายออกในบล็อกนี้แทน

เรายังคิดต่อไปถึงขนาดที่ว่าไม่อยากอยู่แล้วล่ะองค์กรแบบนี้ ที่มีเพื่อนร่วมงานแบบนี้น่ะ เบื่อเซ็ง เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ดูดิพลังแห่งความโกรธของเรานี่ มันบ่งการชีวิต และวิธีคิดตัดสินใจของเราได้ถึงขนาดนี้เลย

แต่ตอนค่ำพอมาคิดอีกที ถึงไปอยู่ที่อื่นๆเราก็คงต้องเจอคนประเภทนี้อีกอยู่ดีแหละ เราหนีไม่พ้นหรอก คนแบบนี้ก็มีทุกที่ น้องแสนดีเขาก็ยังมีข้อดีอื่นๆอีกหลายอย่าง ที่ทำให้เราพอจะคิดให้อภัยได้ และมองเห็นในส่วนดีของเขาอยู่ได้บ้าง (อาจจะมีมากกว่าอีกหลายๆคนในสังคมโดยส่วนเฉลี่ยด้วยซ้ำ)

เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนมีพื้นฐานจิตใจดี มีน้ำใจ ซื่อสัตย์ ฉลาด ขยัน ทำงานเก่ง ไม่เอาเปรียบคนอื่น ขวนขวายใฝ่รู้ แม้จะมีวิธีการพูดหรือทีท่าบางอย่างที่ชวนให้นึกหมั่นไส้ และไม่ชวนนึกเอ็นดูหรือไม่น่ารักเอาเสียบ้างเลยก็ตามในบางครั้ง

คือเขาจะมีทีท่ามั่นใจและมีลักษณะแข็งๆหยิ่งๆไม่ง้อใคร และมีทีท่าว่าฉันรู้ดีอยู่แล้วเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพียงบุคลิกภายนอกหรือข้อเสียของเขาซึ่งออกจะเล็กน้อย เมื่อเทียบกับส่วนดีอื่นๆที่เขามีอีกมากมาย

จะว่าไปอีกทีเขานี่แหละอาจจะกระจกเงา ที่มาสะท้อนให้เราเห็นตัวเราเองในด้านมืด ที่เราไม่เคยมองตัวเองมากก่อน เป็นบุคลิกที่เป็นปม เป็นด้านลบของเรา ที่เคยไปทำไปแสดงออกอย่างนี้เอาไว้มาก่อนแล้ว กับคนอื่นๆรอบข้างโดยไม่รู้ตัว

แต่ก่อนเคยมีคนสะท้อนให้เราฟังเหมือนกันแต่ตอนนั้นฟังแล้วก็ผ่าน ไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ และไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไร รู้สึกแต่ว่าฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้แหละ ใครจะทำไมหรือ ไม่ได้เดือดร้อนใครนี่

แต่คนอื่นเขาคงเซ็งและเจ็บปวดกับคำพูดและวิธีการพูดแบบนี้ของเรา
(ที่เราคิดว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่แหละ) ไปหลายรายแล้ว

จำได้ว่าเคยทำให้รุ่นพี่ที่ทำงานเก่าไม่ชอบขี้หน้าอยู่นาน โดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สาเหตุ แต่ตอนหลังพอรู้จักกันมากขึ้น ก็ดีกัน คุยกันได้ อ้อ! แล้วก็ยังมีรุ่นน้องที่ทำงานเก่าอีกคน ที่ไม่ชอบหน้าเราอย่างแรงตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน
เพราะท่าทีหยิ่งยะโส มั่นใจเกินเหตุของเราเอง

พอมาถึงตอนนี้เราก็เลยเกิดอาการจี๊ดมาก--โกรธได้นานและมากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อต้องมาเจอกับตัวเอง นึกถึงคำพูดของหมอพีร์(พี่เขาเป็นหมอดูแบบสัมผัสจิต)ขึ้นมาทันทีเลยว่า เราน่ะไปทำวจีกรรมกับคนอื่นไว้เยอะ ทำให้คนอื่นเจ็บกับคำพูดของเราไว้มาก ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องมาใช้กรรมของตัวเองบ้างแล้ว (ช่วงนี้กรรมเรื่องนี้จะมีมาให้ชดใช้เป็นหลักเลย)

การใช้กรรมที่ว่านี้ก็คือ กรรมจะส่งผลให้เราเป็นคนอ่อนไหว คิดมากและเจ็บปวดง่าย โกรธง่ายมากกับคำพูดของคนอื่นๆ ที่พูดแล้วมากระทบใจหรือสะกิดใจแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ตาม แล้วก็จะดึงเราให้จมอยู่กับความทุกข์ ความโกรธ และความเจ็บปวดนั้น ด้วยการเอาคำพูดของเขามาคิดย้ำๆซ้ำๆ วนเวียนไปมาในหัวไม่รู้จบ

สรุปก็คือทำตัวเองทั้งนั้นเลย คนพูดน่ะมันพูดจบมันก็ลืมไปนานแล้ว ไม่ได้คิดอะไรต่อแล้ว แต่ตัวเรานี่สิยังทำตัวเองให้ทุกข์ไม่หยุด ด้วยการไปเก็บเอาคำพูดของเขามาคิด มากัดกิน-ทำร้ายจิตของตนเองจนเศร้าหมองอยู่ได้อีกตั้งนาน
ถ้ายังไม่หายโง่ (คือยังคิดต่อ-โกรธต่อ)ก็ต้องทุกข์อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

สุดยอดมากเลยใช่ไหม กฎแห่งกรรมมันทำงานอย่างแม่นยำเที่ยงตรงอย่างน่าทึ่ง ชนิดที่ทำเอาเราพูดไม่ออก อึ้งไปเลย

จำได้ว่าตอนนั้นเราเคยถามหมอพีร์เหมือนกันว่า แล้วอย่างนี้เราควรทำไงดี เขาบอกว่าก็ให้อภัยเขาไปเรื่อยๆ อย่าไปผูกพยาบาทอาฆาตใครเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าใครเขาจะพูดอะไรมาก็ตาม ก็ให้วางใจให้หนักแน่นและให้อภัยเขา แล้วกรรมก็จะหมดไปเอง ไม่ต้องกังวล

ตอนนี้เห็นแล้วและเข้าใจแล้วล่ะว่า กฏแห่งกรรมมันทำงานยังไง เข้าใจแล้วว่า คำพูดที่ไม่ดีที่เป็นลบ ที่เราเคยกระทำต่อผู้อื่นนี้มันทำให้จิตของเขาเป็นทุกข์ ร้อนรนทุรนทุรายขนาดไหน เข้าใจมากๆเลย

พอเขียนมาถึงตรงนี้นะ ความโกรธที่มีต่อน้องแสนดีก็หายไปหมดแล้วล่ะ มันค่อยๆหายไปเองตั้งแต่เราเริ่มเขียนย่อหน้าแรก ที่เรานึกขึ้นมาได้ถึงความดีของน้องเขาแล้วล่ะ แล้วก็หายอย่างเป็นปลิดทิ้ง ตอนที่มาเขียนถึงกรรมของตนเองที่ได้ไปทำไว้ต่อคนอื่นๆ

ความรู้สึกสงสารเห็นใจและเข้าใจในความทุกข์ของคนอื่นๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ เราเข้าใจและมองเห็นความทุกข์ของเขาได้อย่างชัดเจน และลึกซึ้งขึ้นมากๆเลย มันเข้าใจแบบไม่ต้องใช้คำพูด (เพราะคำพูดมีไม่พอที่จะอธิบายได้) รู้สึกว่าอยากก้มลงไปกราบขอโทษ และขออโหสิกรรมต่อทุกๆคนที่เราเคยพูดไม่ดี ทำไม่ดีต่อเขาไว้ทั้งหมดในตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ

โหย ตอนนี้จิตใจมันโล่งและเบาสบายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างกับนรกและสวรรค์เลย วันนี้เราทำตัวเองให้ตกนรกมาเกือบทั้งวันแล้ว
โชคดีนะนี่ที่ยังกลับลำได้ทัน มาฉุดตัวเองให้ขึ้นสวรรค์ในช่วงท้ายๆก่อนจะหมดวันนี้ สาธุ

ขอบพระคุณมากค่ะ ขอบคุณจักรวาล พระธรรมะธรรมชาติ ขอบคุณน้องแสนดี หมอพีร์ ทุกๆสิ่งและทุกๆคน ที่มาช่วยสอนและมาทำให้ลูกได้เห็นตัวเองชัดเจนขึ้นในวันนี้ ขอบคุณๆมากๆ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆเลย และมีความสุขเกิดขึ้นมาในจิตใจเยอะมากๆ ขอบคุณค่ะ

Life Coaching


เพิ่งเสร็จจากการเข้าร่วมอบรม Life Coaching เมื่อเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา (อบรมสามวัน)

มีวิทยากรรับเชิญ คือคุณฮิเดะ และคุณแพทริก (ไม่คิดค่าตัว แต่มาช่วยอบรมให้เป็นการกุศลสำหรับองค์กรพัฒนาเอกชน และคนที่ทำงานเพื่อสังคม) มีผู้เข้าร่วมในแวดวงคนทำงานเพื่อสังคม ที่ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีทั้งนั้นรวม 28 คน บรรยากาศเหมือนงานรวมญาติยังไงอย่างงั้นเลย (ชอบจัง)

Life Coaching คือกระบวนการในการสร้างภาวะผู้นำ และการมอบพลังอำนาจให้แก่ผู้อื่น ในการตัดสินใจและก้าวต่อไปข้างหน้าบนเส้นทางชีวิตของตนเอง โดยผ่านการพูดคุยและการตั้งคำถาม มันเป็นทักษะและกระบวนการที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในบริบทของธุรกิจ การทำงาน ชุมชนและชีวิตส่วนตัว ตอนนี้กำลังเป็นอีกกระแสที่มาแรงในหลายๆประเทศทั่วโลก

Life Coaching แตกต่างจาก Counselling ตรงที่ว่าเราไม่ได้พยายามเข้าไปแก้ปัญหาชีวิตให้ใคร และเราไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของผู้มารับการCoach เพราะ Life Coaching มีความเชื่อพื้นฐานข้อนึงว่าทุกคนมีสติปัญญา และมีความสามารถเพียงพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง และทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าปัญหาของตนคืออะไร อำนาจในการตัดสินใจเลือกจะอยู่ในมือของผู้รับบริการ ผู้ Coach เพียงแต่ช่วยตั้งคำถาม เพื่อให้เขาได้มองเห็นมุมมองใหม ่และความเป็นไปได้อื่นๆในชีวิตของเขา นอกเหนือไปจากการจมปลักวนเวียนอยู่กับปัญหาของตัวเอง รวมทั้งหนุนเสริมให้กำลังใจต่อความเป็นไปได้เหล่านั้น

สิ่งที่รู้สึกชอบมากในการอบรมครั้งน ี้คือเขาจะเน้นให้ฝึกปฏิบัติมากกว่าที่จะมานั่งท่องจำทฤษฎี จำได้ว่าพอเข้าอบรมวันแรก ก็เริ่มต้นด้วยกิจกรรมปฏิบัติการกันเลย ด้วยการให้เราแต่ละคนเดินไปถามเพื่อนๆในห้องว่า "ความฝันในชีวิตของคุณคืออะไร?" ถามและฟังคำตอบจากเพื่อนแต่ละคนให้ได้มากที่สุดในเวลาสิบนาที พอครบเวลาสิบนาทีวิทยากรก็บอกว่าคุณได้เริ่มต้นทำการ Coaching ไปแล้วนะ รู้หรือเปล่า แล้วก็มาสรุปบทเรียนกัน

ในกระบวนการอบรมสามวัน วิทยากรช่วยให้เราได้ฝึกทักษะต่างๆมากมาย (ที่นำไปใช้กับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ด้วย) ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามทรงพลัง การสะท้อนความเห็น การฟันธง การท้าทาย การอุปมาอุปไมย การให้กำลัง และที่สำคัญคือฝึกการฟังสามระดับ (อันนี้ดีมากๆ มีประโยชน์) อันได้แก่

การฟังระดับ 1 คือการฟังเสียงความคิด-ความรู้สึกของตนเอง (ผู้ฝึกโค้ชมือใหม่มักติดอยู่ที่ระดับนี้ คือ มัวแต่คิดว่าเดี๋ยวจะถามอะไรดี ถามแบบนี้ดีไหม เรื่องนี้ตรงกับเรื่องของตัวฉันเลย ตะกี้ที่ฉันพูดไปไม่เข้าท่าเลย ฯลฯ) การฟังระดับนี้เป็นระดับที่คนทั่วๆไปฟังกัน ผู้มารับบริการก็มักจะฟังอยู่ในระดับนี้

การฟังระดับที่ 2 คือการฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ใส่ใจ โดยไม่สนใจกับสิ่งอื่นรอบข้าง หรือแม้แต่เสียงความคิดของตนเอง ประดุจว่าเรากำลังฟังคนรักของเรา (ในช่วงรักกันใหม่ๆ--เพราะถ้ารักกันไปนานๆแล้ว ก็มักจะฟังแบบนี้ไม่ค่อยได้แล้ว ฮา) เวลาผ่านไปนานเท่าไร ฝนจะตก แดดจะออกก็ไม่รู้ไม่ใส่ใจ รู้แต่ว่าเราดำรงอยู่ตรงนี้เพื่อฟังเขาเท่านั้น

การฟังระดับที่ 3 คือ การฟังแบบใช้ญาณทัศนะ ฟังภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงาน ความรู้สึก ความสั่นสะเทือนของบรรยากาศรอบๆตัว รับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆตัว ฟังไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะเรื่องที่ผู้รับบริการพูดเท่านั้น แต่สามารถฟัง-ได้ยินในสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาได้อีกด้วย

ผู้โค้ชระดับเซียนจะต้องพัฒนาตนเองให้ฝึกฟังได้ในระดับที่ 2 และ 3 นี้ (ยากมากแต่สำคัญมาก)

อีกทักษะที่ชอบคือการฝึกตั้งคำถามทรงพลัง คือการตั้งคำถามปลายเปิดที่กระชับ สั้น ตรงประเด็น และเป็นคำถามเชิงบวก เช่น แทนที่จะถามผู้รับบริการว่า "ทำไมคุณไม่ทำสิ่งที่คุณตั้งใจ" ก็ถามว่า "คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการที่คุณไม่ได้ทำในสิ่งที่คุณตั้งใจ" เป็นไงล่ะ--แค่เปลี่ยนวิธีการถาม ก็พลิกมุมมองชีวิตของผู้ตอบได้เลย (เจ๋งเนอะ)

วิทยากรทั้งคู่รับ-ส่งลูกกันได้เนียนมาก และมีพลังกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา น่าชมเชย และมีความเชี่ยวชาญไหลลื่นมาก ในการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้อย่างเป็นระบบ และเข้าใจง่าย ข้อดีอีกอย่างคือเขารักษาเวลาได้ดีมีวินัยในเรื่องนี่สูงมาก...น่าเอาอย่าง

งานนี้ต้องขอบคุณพี่อ้อยและทีมอาศรมวงศ์สนิทอย่างยิ่ง ที่ทำให้เราและผู้เข้าร่วมคนอื่นๆได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับ Life Coaching ในราคามิตรภาพ (ช่วยกันบริจาคค่าของว่าง อาหาร ค่าห้องประชุมคนละ 500 บาท) เพราะปกติถ้าสมัครไปเรียนวิชานี้ที่ London รู้สึกว่าต้องเสียค่าเรียนคนละประมาณ 700 ปอนด์ (ราวสี่หมื่นกว่าบาท-- โอ้พระเจ้าจอร์จ อะไรจะแพงปานนั้น)

Sunday, August 5, 2007

การพูดคนเดียวเกี่ยวกับการมุ่งสู่ความเป็นอัจฉริยะได้ไง


วันนี้ขอเขียนสนองความอยาก (ตัณหา) ของตัวเองสักวัน ฮะๆ (แต่จริงๆแล้วทุกครั้งที่เขียนก็สนองความอยากของตัวเองทุกครั้งนี่หว่า)

ขออุทิศเรื่องนี้ให้พี่นุชสุดสวย ผู้เป็นกัลยาณมิตรของเรา

หลายวันก่อนเคยคุยกับพี่นุชเรื่องบุคลิก-นิสัยของแต่ละคนในที่ทำงาน และพี่นุชตั้งข้อสังเกตว่า เราชอบพูดคนเดียวเวลาทำงาน (ทำงานไปก็คุยกับตัวเองไป)

พี่นุชบอกว่า ทำให้คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆงงๆและไม่แน่ใจว่าเรากำลังพูดกับเขาด้วยหรือเปล่า พอจะขยับปากจะตอบก็เห็นว่า อ้าว มันกำลังพูดคนเดียวนี่หว่า (พี่นุชคือบุคคลผู้นั้น)

แต่ที่ร้ายกว่านั้น คือ ไปๆมาๆคนที่นั่งใกล้กับเราก็จะพลอยติดนิสัยพูดคนเดียวกับตัวเองในเวลาทำงานไปด้วย ซึ่งก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดในตนเองยิ่งนักว่าทำไมต้องติดอาการนี้มาด้วย จะแก้ก็แก้ไม่หาย ตราบใดที่ยังคงนั่งใกล้ๆกะเราอยู่แบบนี้ (พี่นุชคือบุคคลผู้นั้นอีกเช่นกัน)

เราฟังข้อสังเกตนี้จบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ (ไม่ได้รู้สึกผิดเลย ว่ากำลังทำให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน) ว่าเออจริงว่ะ เราเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย ชอบพูดคนเดียวเวลาทำงาน

สักพักก็นิ่งๆไปเพื่อนึกหาเหตุผลว่า เออแฮะ แล้วทำไมเราต้องทำแบบนั้นด้วย ตอนนั้นก็ไม่รู้คิดไม่ออก รู้แต่ว่า ชอบทำแบบนี้แหละ เพราะเวลาได้พูดไปทำงานไป มันสนุกดี (สนุกกับตัวเอง) มันทำให้เรารู้สึกสนุกและตื่นตัวมากขึ้นในการทำงานน่ะ รู้สึกว่าวิธีนี้ทำให้สมองเราทำงานได้เร็ว โล่งและชัดเจนขึ้น

เช่น พอเวลาคิดอะไรไม่ออก ก็จะบ่นกับตัวเอง "อะไรหว่า งงๆ คิดไม่ออก มันคืออะไรน้า อืมมม.." แล้วสักพักก็หาข้อสรุปให้ตัวเองต่อเสร็จสรรพ (พร้อมกับพูดออกมาดังๆด้วย)ว่า "เออ ช่างมัน คิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด ไปทำอย่างอื่นก่อนดีกว่า" แล้วก็ปิดสวิทช์การคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นไว้ก่อนชั่วคราว ฟึ่บ! เพื่อไปเปิดสวิทช์การคิดเรื่องใหม่ต่อไป

หรือบางทีที่เราปิ๊งไอเดียใหม่ๆ หรือเข้าใจอะไรบางขึ้นมาแบบฉับพลัน ก็จะพูดเสียงดังๆออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจแบบสุดๆ (กับตัวเอง) ว่า "อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ฮะฮ้า เข้าใจแล้วๆๆ เย้ๆ" พร้อมกับการทำท่าดีใจแบบโอเว่อร์คนเดียว แสดงความชื่นชมและความภาคภูมิใจกับตัวเองแบบสุดๆ บางทีก็แถมคำชมเป็นรางวัลให้กับตัวเองด้วยว่า "แหม เก่งจริงๆเลย ลูกใครเนี่ย อัจฉริยะสุดยอด" อะไรประมาณนี้ โดยไม่สนใจสายตาแปลกๆของคนรอบข้างแม้แต่น้อย (ลืมไปเลยว่ามีคนอื่นอยู่แถวๆนั้นด้วย) ประมาณว่าตอนนั้นฉันอยู่ในโลกของตัวเองแบบอินสุดๆไปแล้ว

เราจะมีอาการประมาณนี้เสมอเมื่อนั่งทำงานคนเดียว เวลาพูดคนเดียวออกมาดังๆจะรู้สึกว่า ความคิดมันจะแล่นไหลลื่นได้ดีกว่า เร็วกว่าการนั่งเงียบๆ และบรรยากาศในการทำงานก็สนุกกว่าด้วย (สำหรับตัวเราเองเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว เพราะเขาอาจไม่สนุกด้วย) ถ้าให้เรานั่งทำงานไปเงียบๆโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย พอนานๆไปจะรู้สึกเหนื่อยล้าเร็วกว่าปกติ จะอึดอัดเพราะไม่ได้ระบายความคิด-ความรู้สึกออกมา จะฝืดๆหนืดๆเหมือนความคิดไม่ค่อยแล่นพิกล

พอมาวันนี้ เห็นหนังสือ "สู่ความเป็นอัจฉริยะด้วยการพัฒนาสมอง" เขียนโดย Eran Katz ก็เลยแอบหยิบมาอ่านจากกองหนังสือบนโต๊ะของพี่เล็ก (จะผิดศีลข้อสองปล่าวฟะเนี่ย ยืมมาอ่านโดยไม่บอกเจ้าของ--ถ้าพี่เล็กรับรู้ ไม่ว่าตอนนี้พี่เล็กจะอยู่ในที่ใดๆก็ตาม ข้าน้อยก็ขออภัยและขออโหสิกรรมด้วย สาธุ) ก็พบกับคำตอบเรื่องการพูดคนเดียวของเรา ว่ามันเกี่ยวกับการพัฒนาสมองไปสู่ความเป็นอัจฉริยะได้ไง ฮะฮ้า

เขาอธิบายว่า
"ในโรงเรียนทั่วไป นักศึกษาเพียงแค่นั่งเงียบๆแล้วฟังครู หรือนั่งเงียบๆในห้องสมุดแล้วพลิกหนังสือและเอกสาร แต่ในโรงเรียนศาสนา นักศึกษา "ปะทุ" และ "ระเบิด" ในกระบวนการเรียนรู้คัมภีร์โทราห์ พวกเขาจะใช้พลังงานทั้งหมด ใช้อวัยวะในร่างกายทุกส่วน และที่สำคัญที่สุดคือ พูดออกมาดังๆ เธอต้องพูดเสียงดังกับตัวเองไม่ว่าเธอกำลังเรียนอะไร มีคนเคยบอกฉันว่าการพูดสิ่งที่เธอกำลังเรียน เป็นการกระตุ้นสมองทั้งสองซีกให้ตื่นตัว และช่วยปรับปรุงการรับรู้ สมาธิ และความจำของเธอ"


อันนี้มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ตอนที่เราไปทำแบบทดสอบพลังสมองของเรา (ทางอินเตอร์เน็ต) เพื่อดูว่าเราถนัดใช้สมองซีกไหนมากกว่ากัน ปรากฏว่าผลที่ออกมาคือ เราใช้สมองทั้งสองซีกเท่าๆกันเลยแฮะ ผลออกมาอยู่ตรงกลางพอดีเป๊ะ (หายากนะเนี่ย! ขอโม้ต่อด้วยความภูมิใจ ฮะๆ--ใครที่เผลอมาอ่านบล็อกนี้เข้าก็ทำใจหน่อยละกัน ช่วยไม่ได้หลวมตัวมาอ่านเองนิ)

"ปกติคนทั่วไปมักใช้แค่จักษุประสาท หมายความว่าพวกเขาพยายามจำเรื่องราวต่างๆโดยการอ่านเป็นส่วนใหญ่ การเรียนรู้โดยการพูดออกมาดังๆช่วยเพิ่มอีกมิติหนึ่งให้ประสาทสัมผัสอีกด้านหนึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมความจำ นั่นคือโสตประสาท เทียบได้กับความแตกต่างระหว่างการดูทีวีโดยเปิดเสียงกับปิดเสียง การเรียนแบบใช้เสียงดังช่วยให้ความรู้ฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราได้จริงๆ ดังนั้นความรู้ก็จะคงอยู่ในความทรงจำของเราได้เนิ่นนานขึ้น"


..."สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆก็คือเราไม่ได้เพียงแค่พูดเสียงดัง แต่ค่อยๆเพิ่มระดับเสียงขณะที่แสดงโวหาร ตามความหมายที่แท้จริงของคำ เทคนิคนี้มีผลต่อภาษากายและการเคลื่อนไหวของเรา ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมีผลต่อระดับความสนใจของเราที่มีต่อหัวข้อที่เรียนแค่ไหน ในที่สุดก็จะนำเราไปสู่การถกเถียงกันเอะอะ แต่ความสนุกก็อยู่ตรงนี้แหละ..."

นอกจากเรื่องการพูดเสียงดังๆกับตัวเองแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังได้แนะนำเทคนิควิธีการพัฒนาพลังสมองชนิดอื่นๆ แบบง่ายๆ (หลายอย่างก็ง่ายเสียจนเราคิดไม่ถึง และมองข้ามไป) แต่สามารถใช้ได้ผลจริงอีกมากมาย น่าสนใจ และทุกคนสามารถนำไปใช้ นำไปฝึกฝนได้ด้วยตนเองตามถนัด

อ่านจบแล้วให้ความรู้สึกประมาณว่า --เป็นอัจฉริยะ ฝึกเองที่บ้านก็ได้ ง่ายจัง--

คนเขียนเก่งมาก เขียนสนุกดี มีอารมณ์ขันสอดแทรกอยู่ตลอดเรื่อง ฟังดูชื่อออกจะทางการ เนื้อหาน่าจะหนัก แต่พออ่านเข้าจริง กลับอ่านสนุก อ่านง่าย เขาเก่งตรงที่ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้อย่างเหลือเชื่อ (จะว่าไปอีกที คนเขียนเรื่องนี้ ก็คืออัจฉริยะดีๆนี่เอง)

เอ้า! ใครอยากพัฒนาพลังสมอง ฝึกฝนตนเองไปสู่ความเป็นอัจฉริยะควรซื้อหามาอ่านกันคนละเล่มสองเล่มได้เลยจ้า (ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ inspire) หรือจะหยิบยืมชาวบ้านมาอ่านเอา (แบบประหยัด) เฉกเช่นข้าพเจ้าก็แล้วแต่กำลังทรัพย์และความศรัทธา

ถึงพี่นุช... ตอนนี้เรามีคำตอบอันชอบธรรมให้พี่นุชแล้วนะว่า ทำไมเราถึงชอบพูดคนเดียวเวลาทำงาน ฮะๆๆ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้เราพูดคนเดียวต่อไปได้อีกนานแสนนาน (โดยไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใด อันที่จริงก็ไม่เคยรู้สึกผิดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เอ๊ะ แล้วจะพูดทำไมเนี่ย) และข้ออ้างนี้ก็จะทำให้พี่นุชไม่รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่ติดอาการพูดคนเดียวของเราไปด้วย นะเออ ดีไหมเล่า

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณพี่เล็ก ผู้สนับสนุนให้หยิบยืมหนังสืออย่างไม่เป็นทางการ (เพราะเจ้าของยังไม่รู้ตัวเลยจนบัดนี้ว่าถูกมือดีเช่นเราหยิบยืมมาอ่านแล้ว--และคาดว่าคงจะรู้เอาอีตอนนี้ ตอนที่ได้อ่านบล็อกหน้านี้นี่แหละ)

Friday, July 20, 2007

Spirited Away


หนังการ์ตูนเรื่องนี้สนุกมากขอบอก

Spirited Away กำกับโดย Hayao Miyazaki

เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ชิฮิโร โอกิโนะที่กำลังเดินทางเพื่อย้ายบ้านไปที่แห่งใหม่ แต่ระหว่างทางที่ขับรถกันไปกับครอบครัว พ่อกับแม่พยายามจะหาเส้นทางลัด แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้เดินทางพลัดหลงเข้าไปในดินแดนลึกลับที่ดูเหมือนจะมีแต่วิญญาณและตัวประหลาดเต็มไปหมด พ่อกับแม่ของเธอที่ไปด้วยกันได้กลายร่างเป็นหมูเพราะความโลภและตะกละของตนเอง ส่วนเธอก็ต้องผจญภัยกับตัวประหลาดและเรื่องราวต่างๆ เพื่อช่วยพ่อแม่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์และหาทางออกมาจากดินแดนแห่งนั้นให้ได้ โชคดีที่เธอได้พบกับฮาคุซึ่งคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังให้เธอผ่านพ้นอันตรายต่างๆ รวมทั้งเพื่อนดีๆอีกมากมายที่ได้ค้นพบหลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาด้วยกัน

หนังแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครและการเปลี่ยนผ่านจากเด็กที่เอาแต่ใจ ขลาดกลัวและไม่มั่นใจ ไปสู่เด็กที่มีความกล้าหาญ รับผิดชอบ มีพลังแห่งความมุ่งมั่นและมีความดีงามในจิตใจ

หนังการ์ตูนเรื่องนี้จะดูเอาสนุกอย่างเด็กๆ หรือจะดูเอาเรื่องแล้วตีความอย่างผู้ใหญ่ก็ได้ มีหลายประเด็นที่น่าคิดไม่ว่าจะเรื่องความโลภและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมกับระบบบริโภคนิยม หนังได้แฝงเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างแนบเนียนดูสนุก หนังไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้แต่ให้เราเก็บกลับไปคิดเอง

ดูจบแล้วก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนต้องเอามาบอกต่อด้วยประการฉะนี้

อ้อเรื่องนี้ได้รับรางวัลสารพัดเลย ดังรายการด้านล่าง

The film was named Best Animated Feature at the 75th Academy Awards, the first anime film to win an Oscar.

75th Academy Awards – Best Animated Feature (Hayao Miyazaki)
2003 Annie Awards
Outstanding Achievement in an Animated Theatrical Feature
Outstanding Direction in an Animated Feature Production (Hayao Miyazaki)
Outstanding Music in an Animated Feature Production (Joe Hisaishi)
Outstanding Writing in an Animated Feature Production (Hayao Miyazaki)
2002 Berlin International Film Festival – Golden Bear (tied with Bloody Sunday) (Hayao Miyazaki)
2002 Blue Ribbon Awards – Best Film (Hayao Miyazaki)
2002 Boston Society of Film Critics Awards – Special Commendation
2002 Tokyo International Anime Fair – Best Animated Film
2003 Broadcast Film Critics Association Awards – Best Animated Feature
2003 Dallas-Fort Worth Film Critics Association Awards – Best Animated Film
7th Florida Film Critics Circle Awards – Best Animated Feature
2002 Hong Kong Film Awards – Best Asian Film
2001 Japanese Academy Awards – Best Film
2002 Los Angeles Film Critics Association Awards – Best Animation
2002 National Board of Review Awards – Best Animated Feature
2002 New York Film Critics Circle Awards – Best Animated Film
6th Online Film Critics Society Awards – Best Animated Feature
2002 San Francisco International Film Festival Audience Award – Best Narrative Feature (Hayao Miyazaki)
2003 Satellite Awards – Best Motion Picture, Animated or Mixed Media
2003 Saturn Awards – Best Animated Film

Additionally, Spirited Away is the first animated film of any kind to win the Golden Bear at the Berlin Film Festival.

Water


เป็นหนังสัญชาติอินเดียอีกเรื่องที่รับการโจษจันกล่าวขานในแวดวงคอหนัง
กำกับโดย Deepa Mehta นำแสดงโดย Seema Biswas, Lisa Ray, John Abraham, Sarala

หนังได้รับคำชมมากมายจากนักวิจารณ์ต่างประเทศ ได้รับการโหวตให้เป็นหนังที่ดีที่สุดในสิบอันดับหนังดีแห่งปี 2005 ของแคนาดา แต่กลับถูกต่อต้านและห้ามฉายในอินเดีย เพราะหนังสะท้อนสภาพชีวิตที่ถูกกดขี่ของหญิงหม้ายในสังคมฮินดูและตั้งคำถามที่ท้าทายเกี่ยวกับคำสอนในคำภีร์อุปนิษัทเรื่องเพศสภาวะและสถานะของผู้หญิงฮินดู อย่างชนิดที่คนฮินดูเองก็รับไม่ได้ เพราะมันอาจจะจริง ตรง และโหดร้ายเกินไป

เหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของการเรียกร้องเอกราชของอินเดียเมื่อราวปี 1938 (เราจะได้เห็นคานธีในเรื่องนี้ด้วย) หนังเริ่มต้นด้วยการเล่าถึง Chuhyia เด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบที่ต้องกลายเป็นหม้ายเนื่องจากสามีที่อายุมากกว่าเธอถึง 43 ปีถึงแก่กรรม เธอแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองแต่งงานแล้ว เธอถูกจับโกนหัว ใส่ชุดขาวและส่งไปอยู่ในอาศรม (ริมแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์) ที่หญิงหม้ายทุกคนจะต้องมาอยู่ที่นี่ ที่นี้เธอได้พบกับศกุนตลาและกัลยาณีซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนต่างวัยที่ช่วยดูแลเธอ Chuhyia ได้เรียนรู้จักสภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายของการเป็นหญิงหม้ายในสังคมฮินดูที่ต้องกลายเป็นขอทาน (เพราะพวกเธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองทรัพย์สมบัติและเครื่องประดับใดๆจากครอบครัวเดิม) บ้างก็ต้องเป็นโสเภณี(อย่างลับๆ)เพื่อความอยู่รอด และได้รับการปฏิบัติอย่างดูถูกเหยียดหยามจากสังคมรอบข้าง เพราะถือว่าพวกเธอคือผู้นำพาความโชคร้ายมาสู่สามีของเธอ เธอเป็นสาเหตุที่ทำให้สามีเสียชีวิต

หนังเล่าเรื่องและตั้งคำถามผ่านสายตาและมุมมองของเด็กหญิง Chuhyia ในเรื่องนี้เด็กหญิง Chuhyia ตั้งคำถามกับศกุนตลาด้วยความสงสัยว่า "แล้วอาศรมของผู้ชายที่เป็นหม้ายล่ะอยู่ที่ไหน" แทนที่จะได้รับคำตอบ เธอกลับถูกหญิงหม้ายคนอื่นๆดุเอาด้วยสีหน้าตื่นตกใจว่า "คิดอย่างนี้ได้อย่างไร เพียงแค่คิดก็เป็นบาปแล้ว" ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามในเรื่องนี้ ทุกคนต่างก้มหน้ายอมรับชะตากรรมตามความเชื่อและคำสอนในคัมภีร์อย่างมืดบอด แม้ในยุคนั้นอินเดียจะออกกฎหมายให้หญิงหม้ายสามารถแต่งงานใหม่ได้ แต่ในแง่ของการปฏิบัติและความเชื่อทางศาสนาในยุคนั้นไม่มีใครยอมรับการปฏิบัติตามกฎหมายในข้อนี้

ในอินเดียนั้นผู้หญิงฮินดูจะต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของผู้ชายในสามสถานะคือ เป็นลูกสาว (อยู่ในความปกครองของบิดา) เป็นภรรยา(เป็นสมบัติของสามี) และเป็นแม่ (อยู่ในการดูแลของลูกชาย)

หากเธอกลายเป็นหญิงหม้ายก็จะมีทางเลือกให้เธอเพียงสามทางคือ 1) กระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายพร้อมศพของสามี 2) ใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง (เข้ามาอยู่ในอาศรม) และ 3) หากทางครอบครัวของสามียินยอม ก็ให้น้องชายของสามีรับช่วงต่อ (ตกเป็นภรรยาของน้องชายสามี)

หนังเรื่องนี้ไม่สามารถถ่ายทำในอินเดียได้ หากแต่ต้องไปถ่ายทำในศรีลังกา เพราะถูกต่อต้านจากสมาคมศาสนาฮินดูในอินเดียอย่างรุนแรง แต่หนังก็ถ่ายทำออกมาได้ดี โทนหนังสวยเศร้า มุมกล้องสวยมาก เราจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของวิถีชีวิตคนอินเดียเมื่อร้อยกว่าปีก่อนที่มีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำและความเชื่อความศรัทธาในศาสนาของตน (และยังคงเป็นเช่นนั้นจนทุกวันนี้ในหลายๆแห่งในอินเดีย)

เพลงประกอบภาพยนตร์เพราะมาก แม้ว่าจะฟังไม่ออกเลยสักคำเพราะเป็นภาษาฮินดีก็ตาม แต่ท่วงทำนองของดนตรีและน้ำเสียงของผู้ร้องก็สื่ออารมณ์และความหมายได้ชัดเจนพ้นไปจากถ้อยคำและภาษาใดๆ

เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจและควรค่าแก่การดูอย่างยิ่ง แม้ว่าดูจบแล้วจะรู้สึกเศร้าและสะเทือนใจแทนผู้หญิงเหล่านั้นก็ตาม

มีข้อมูลท้ายเรื่องที่น่าตกใจก็คือ จนกระทั่งปี 2001 นี้ก็ยังคงมีหญิงหม้ายอีกราว 3 ล้านกว่าคนในอินเดียที่ยังคงต้องทนอยู่ในสภาพชีวิตเช่นนั้น ไม่แตกต่างจากหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมาเลย

หมายเหตุ: ก่อนหน้านี้ Deepa Mehta เคยสร้างและกำกับหนังเรื่อง Fire และ Earth ซึ่งได้รับการโจษจันและกล่าวขานถึงไม่แพ้กันมาแล้ว (พูดถึงประเด็นเรื่องสถานะของผู้หญิงในอินเดียเช่นกัน) ฟังดูแล้วเดาว่าภาคต่อไป/เรื่องต่อไปคงต้องชื่อ Wind แน่ๆเลย จะได้ครบธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ พอดีไง ว่าไหมล่ะ?

Tuesday, July 10, 2007

เรื่องเล่าจากเพื่อนชายแดนใต้


เราได้รับ forward mail นี้มาจากพี่เล็ก มันเป็นเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งชื่อ เมาะ กำลังทำงานรณรงค์เรื่องสันติภาพและการหยุดยิงที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนนี้เขาคิดโครงการรณรงค์ด้วยการทำสติ๊กเกอร์โลโก้หยุดยิงและสันติภาพ เพื่อให้ผู้คนที่เห็นด้วยกับแนวทางแห่งสันติฯ นำไปติดตามที่ต่างๆเพื่อชักชวนและกระตุ้นเตือนหรือสะกิดให้ผู้คนตระหนักถึงหนทางแห่งสันติวิธี เราอาจเข้าร่วมการณรงค์ครั้งนี้ด้วยได้ไม่ยาก ด้วยการประกาศจุดยืนและความเชื่อของเราในการใช้สันติวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้านล่างเป็นที่มาและเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้เมาะตัดสินใจเลือกใช้โลโก้หยุดยิง เป็นเครื่องมือในการรณรงค์ ตอนนี้ตัวโครงการกำลังอยู่ในขั้นวางแผนดำเนินงาน เชื่อว่าในอีกไม่ช้าเราคงได้เห็นโลโก้หยุดยิง/สันติภาพออกมา


ที่มาของโลโก้หยุดยิงและสันติภาพในภาคใต้ของประเทศไทย[1]


ชู๊ต (นามสมมติ) เด็กสาวชาวอะเจห์เป็นบุคคลสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉัน ให้สามารถคิดวิธีการรณรงค์การไม่ใช้ความรุนแรง หรือ โลโก้หยุดยิง

ฉันพบชู๊ตโดยบังเอิญในช่วงที่ไปทำวิจัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซียโดยทุนปัญญาชนสาธารณะ (API) จนบัดนี้ฉันยังไม่สามารถลืมใบหน้าของเด็กสาวที่ฉายแววตาอันแสนเศร้า และมักจะร้องให้ออกมาเสมอเมื่อมีใครพูดถึงเหตุการณ์เผาโรงเรียนที่เธอรัก...

เรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของเธอ พร้อมกับหยาดน้ำตาอาบแก้ม...เธอเล่าว่า...เธอต้องนอนราบบนพื้นเพราะบริเวณรอบบ้านมีการยิงกันระหว่างกลุ่มกัม (GAM-Free Aceh Movement) และรัฐบาล...

เหตุการณ์ที่เห็นผู้คนต้องอยู่ในบ้านหลบภัยในช่วงเหตุการณ์ระเบิดอย่างรุนแรง... บ้านที่ต้องสร้างขึ้นชั่วคราวสำหรับรองรับคนที่ถูกเผาบ้าน.... การสูญเสียเพื่อนสนิทชาวชวา 2 คน เพราะถูกกัมข่มขู่ให้กลับไปยังเกาะชวาเนื่องจากไม่ใช่คนอะเจห์.... และแม้แต่ชาวอะเจห์ที่ไม่สามารถพูดภาษาอะเจห์ได้ก็ยากที่จะอยู่ในอะเจห์เช่นกัน

เธอได้เปรียบเทียบช่วงชีวิตในระหว่างเหตุการณ์ความรุนแรงว่า ‘ชีวิตของเราไม่มีค่าและมีราคาถูกกว่าปลา’ (Our soul is no price and cheaper than fish) ชู๊ตเล่าให้ฟังว่าในสถานการณ์แห่งความสับสนและสังคมไร้ระเบียบเช่นนี้ ทุกคนมีสิทธิจะตกเป็นเหยื่อได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ทหาร หรือตำรวจ หรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดน แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนที่อยู่ท่ามกลางขั้วทั้งสองนั้นถูกยัดเยียดโชคชะตาอันโหดร้ายจากทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์ในอะเจห์ตอนนี้ได้รับสันติภาพแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 หลังจากต่อสู้กันมาเกือบ 30 ปี มีคนตายและอุ้มหายมากมายเหลือคณานับ และสึนามิเองก็มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดสันติภาพในอะเจห์ขึ้น…

บ้านของชู๊ตสงบลงแล้วแต่บ้านของฉันกำลังจะซ้ำรอยและเป็นเช่นเดียวกับบ้านของเธอเมื่อ 30 ปีก่อน... เหตุการณ์นานวันผ่านไป....เริ่มรุนแรงขึ้นและใกล้ตัวมากขึ้นทุกขณะ...ฉันถามตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันมีทางเลือกเช่นใดบ้างในสภาวะการณ์เช่นนี้.... ทางเลือกที่ไม่ต้องการถูกยัดเยียดโชคชะตาแห่งความเลวร้ายจากทั้งสองฝ่าย...ดังเช่นชู๊ตเคยเผชิญ...ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลยว่า จะมีเด็ก ๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเติบโตขึ้นกลายเป็นเด็กน้อยที่แสนเศร้าอย่างชู๊ตอีกกี่คน...

อีกครั้งที่ฉันย้อนกลับไปนึกถึงระหว่างทางที่เดินสำรวจเมือง Banda Aceh… ฉันเห็นโลโก้หยุดยิงติดอยู่ท้ายรถยนต์บ้าง หน้ากระจกรถบ้าง ข้าง ๆ รถบ้าง... และเวลาที่ฉันไปซื้อของที่ระลึกในร้านก็เห็นเสื้อที่สกรีนข้อความต่าง ๆ เกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรง... ฉันรู้สึกว่าสัญลักษณ์เหล่านี้มีพลัง...แต่ก็ไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาขอยืมใช้บ้างในเมืองไทย...

แต่วันนี้ฉันต้องขอยืมสัญลักษณ์ดังกล่าวมาใช้บ้าง...ถึงแม้จะรู้ว่า..แค่โลโก้อันเล็ก ๆ เช่นนี้ จะไม่ได้นำมาซึ่งสันติภาพ.... แต่อย่างน้อยก็เป็นก้าวเล็ก ๆและการแสดงพลัง ....ให้กับผู้คนที่ต้องการทางเลือก... ในการที่จะได้เลือกว่า “ฉันไม่เอาความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม”...



----------------------------------------------

[1] จริง ๆ แล้วมีหลายปัจจัยและบุคคลหลายคนที่ช่วยทำให้ฉันคิดถึงการใช้โลโก้เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในช่วงการประท้วงใหญ่... พี่ละม้าย..ก๊ะโซรยา...และการประชุมที่สงขลา...

Sunday, July 1, 2007

ไดอะล็อก: พลังจากการคิดร่วมกัน


ตอนนี้กำลังสนใจเรื่อง Dialogue (มีผู้แปลเป็นไทยว่า สานเสวนา หรือ สุนทรียสนทนา) เพราะเคยมีประสบการณ์การได้เข้าร่วม dialogue วงย่อยๆกับกลุ่มขวัญเมือง, เชียงราย (พี่ใหญ่ วิศิษฐ์ วังวิญญู, หมอวิธาน, พี่ณัฐฬส ฯลฯ) รู้สึกประทับใจและเห็นได้ว่า Dialogue นี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนได้เติบโตและเรียนรู้จากกันและกันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด คิดว่าหากเป็นไปได้ก็อยากจะทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้ในเมืองไทยก็มีกลุ่มที่นำ Dialogue ไปใช้ในการพัฒนาองค์กร และพัฒนาสังคมหลายกลุ่ม เท่าที่เรารู้ๆแน่ๆ ตอนนี้คือ กลุ่มขวัญเมือง ก็หนึ่งล่ะ อีกกลุ่มหนึ่งก็ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหิดล (มี อ.ปาริชาด รองผอ.ศูนย์ฯเป็นกระบวนกรหลัก) แล้วก็มีกลุ่มจิตปัญญาศึกษา อีกหนึ่ง ทางใต้เองก็มีกลุ่มที่มอ.และรพ.ฉวางที่เคยมาร่วมอบรมกับกลุ่มขวัญเมืองแล้วคาดว่าคงจะนำไปพัฒนาต่อ ปรากฏการณ์ Dialogue ในเมืองไทยนับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าติดตามไม่น้อยทีเดียว (ถ้าใครสนใจเรื่องการจัดการความรู้ และการวิวัฒน์ทางจิตวิญญาณคาดว่าน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง) เชื่อว่าในไม่ช้ามันจะกลายเป็นกระแสสำคัญอีกกระแสหนึ่งที่สร้างการเรียนรู้และการแปรเปลี่ยนสังคมได้

บ่ายวันนี้อ่านหนังสือ “รหัสอภิมนุษย์” (Synchronicity) เขียนโดย โจเซฟ จาวอร์สกี แปลโดย สุรพงษ์ สุวจิตตานนท์ ตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์คบไฟ ผู้เขียนคือ โจเซฟ นี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ค้นพบชะตากรรมของตนเองในชีวิตช่วงหนึ่ง (หลังจากผ่านมรสุมชีวิตอย่างหนัก) เขาพบว่าตนต้องการทำอะไร ต้องการเป็นอย่างไร มีความสัมพันธ์อย่างไรต่อโลก เขาไปเจอและสนทนากับ เดวิด โบห์ม เจ้าพ่อ Dialogue มาด้วย มีบทหนึ่งที่เขาได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ Dialogue เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

ไดอะล็อก: พลังจากการคิดร่วมกัน
ในบางโอกาส ผู้คนจากเผ่าต่างๆมานั่งล้อมวงกัน พวกเขาได้แต่พูด พูด และก็พูด โดยไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด พวกเขาไม่มีเรื่องใดๆให้ตัดสินใจ ไม่มีทั้งผู้นำ แต่ทุกๆคนสามารถเข้ามาร่วมได้ อาจมีทั้งคนฉลาด ทั้งชายหญิงที่คอยฟังผู้อาวุโส แต่ทุกคนก็มีสิทธิพูดได้ การชุมนุมดำเนินไปจนกระทั่งยุติลงในที่สุดโดยปราศจากสาเหตุใดๆ แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่า แต่ละคนต่างรู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร เพราะพวกเขาเข้าใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี พวกเขาอาจกลับมาชุมนุมกันใหม่ในกลุ่มที่เล็กลงเพื่อทำกิจกรรมหรือตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ

เดวิด โบห์ม ในหนังสือ On Dialogue


คำว่า “ไดอะล็อก (Dialogue)” ที่โบห์มใช้ มีที่มาจากคำกรีก 2 คำคือ ไดอะ (Dia) และโลกอส (Logos) ซึ่งรวมแล้วหมายถึง “การไหลผ่านของความหมาย (meaning flowing through)” คำๆนี้ต่างจากคำว่า โต้วาที (debate) ซึ่งหมายถึง “การชำแหละ (beat down)” หรือแม้กระทั่ง “การอภิปราย (discussion)” ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกับ “การตีกระทบ percussion” และ “การสั่นคลอน (concussion)”

โบห์มชี้แจงว่า เรื่องราวต่างๆที่อยู่ในข่ายที่เรียกว่าอภิปรายนั้น จริงๆแล้วยังเข้าไม่ถึงระดับรากในแง่ที่ว่า ยังมีสิ่งที่ต่อรองหรือเจรจากันไม่ได้แอบแฝงอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือยังมี “บางเรื่องที่พูดคุยหรืออภิปรายไม่ได้ (undiscussable)” ไม่มีใครอยากจะหยิบยกเรื่องที่พูดไม่ได้ขึ้นมา แต่มันมีอยู่ในระดับลึกลงไปภายใต้เปลือกนอก อีกทั้งยังเป็นกำแพงกั้นการสื่อถึงกันในระดับลึกในเรื่องของความซื่อสัตยและความจริงใจ...

แต่หากคนเราสามารถคิดร่วมกันตามแนวทางที่ประสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ผลที่ตามมาคือพลังมหาศาล ถ้าหากมีโอกาสได้ดำเนินการสนทนาแบบไดอะล็อกนานพอ อาจเกิดการขับเคลื่อนทางความคิดที่นำไปสู่ความความคล้องจองลงตัว ที่ไม่เพียงแต่ในระดับที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยปกติ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ถึงระดับเหนือคำบรรยาย ไดอะล็อกไม่ได้ต้องการให้ทุกคนมีความเห็นเป็นแบบเดียวกัน แต่จะส่งเสริมให้คนเข้ามามีส่วนร่วมโดยนำเอาความหมายมาแบ่งปันกัน ซึ่งจะนำไปสู่การการกระทำอย่างสมานฉันท์ ตามข้อยืนยันจากไอแซ็คส์และกลุ่มผู้วิจัยของเขาที่เอ็มไอที จากความหมายใหม่ที่เกิดจากไดอะล็อคนี้ คนเราจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิผลโดยไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยกันกับเหตุผลในการกระทำของแต่ละคน

“ในการสนทนาแบบไดอะล็อก เป้าหมายของการสนทนาคือการสร้างบรรยากาศพิเศษที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ชนิดที่ต่างไปจากเดิม เป็นความสัมพันธ์ที่มีทั้งพลังและเปี่ยมไปด้วยเชาว์ปัญญา”

หลังจากที่เคยได้มีประสบการณ์ในวง Dialogue มาเล็กน้อย อย่างที่บอกว่าประทับใจ ตอนนี้พอได้อ่านหนังสือบทนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเราประทับใจอะไร ที่เราประทับใจนั้นไม่ใช่เนื้อหาของไดอะล็อกโดยหลักหรอก (เพราะพูดคุยกันหลายเรื่องมากจนไม่นานนับได้) แต่เป็นบรรยากาศของวงตะหาก มันเป็นวงที่เปิดกว้าง ทุกคนได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกัน เสียงของทุกคนจะได้รับการรับฟังอย่างใส่ใจ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

ในวงนั้น(ที่เราได้เคยไปร่วมมา) มีตั้งแต่คนระดับปรมาจารย์รุ่นเดอะ เช่น พี่ใหญ่ อ.ฌานเดช ฯลฯ ไปจนถึงเด็กเพิ่งจบมหาวิทยาลัยอย่าง น้องแตน หรือคนรุ่นกลางๆที่กำลังจะก้าวมาเป็นรุ่นเก๋าเช่น พี่ณัฐฬส พี่น้อง ส่วนเรากะผึ้งก็อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างรุ่นใหม่กับคนรุ่นกลาง แต่ทุกคนคุยกันอย่างเสมอภาค เคารพในพื้นที่ซึ่งกันและกัน และประเด็นที่คุยก็ไหลลื่นไปตามธรรมชาติ (มีพี่ใหญ่เป็นคนโยนตัวกวน ตั้งคำถาม หรือจับประเด็นสรุปให้เป็นระยะๆตามสมควร) เป็นวงสนทนาที่มีพลังมาก ทุกคนจะรู้สึกไว้วางใจ เชื่อใจและรู้สึกปลอดภัยมากพอที่จะเปิดกว้างหรือพูดถึงประเด็นลึกๆบางอย่างภายในตัวตนที่ปกติแล้วเราจะไม่พูดคุยกันในชีวิตประจำวัน เราได้เห็นว่าในหลายๆครั้งปมบางอย่างที่อาจแฝงฝังมาตั้งแต่อดีตของบางคนได้รับการเยียวยาและคลี่คลายในวงสนทนาเช่นนี้เอง มันเป็นวงพูดคุยที่มีชีวิตชีวามากเลย ไม่ใช่เจาะแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงเรื่องของชีวิต ความรู้สึกและความรักด้วย ทั้งหมดผสมผสานกลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไหลลื่นและมีพลวัตร

อาจมีบางช่วงที่ทุกคนอาจนั่งนิ่งเงียบกันทั้งหมดโดยไม่มีใครพูดอะไรเลย หากรู้สึกว่ายังไม่มีอะไรจะพูด บางคนอาจเรียกมันว่าช่วง Chaos (เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือการควบคุม) แต่บางคนก็พบว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบนิ่งเพื่อใคร่ครวญสัมผัสกับความรู้สึกของตนเอง อย่างไรก็ดีความเงียบก็เป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของไดอะล็อกด้วย มันเป็นธรรมชาติที่ปรากฏตัวขึ้นได้ทุกขณะ และจะไม่มีใครในวงพยายามเข้าไปทำลายหรือขัดขวางความเงียบนี้โดยไม่จำเป็น หากแต่ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่มันจะเป็น ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกปรากฏการณ์สามารถเกิดขึ้นได้ในวงนี้อย่างเสมอภาค อย่างได้รับการยอมรับ โดยไม่มีการตัดสิน เราจะสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างกันและกันที่เกิดขึ้น รวมทั้งพลังงาน (หรืออาจจะเรียกว่ากระแส หรือ vibration) บางอย่างที่พิเศษ มันจะเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติภายในวงพูดคุยเช่นนี้

เรามีความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากทุกคน และเราก็ยอมรับทุกคนได้อย่างไม่ตัดสิน เป็นมิตรภาพที่บังเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องมีการพิสูจน์กันว่าเราคือใครมีคุณงามความดีอะไร เก่งกาจมาจากไหน หรือมีความผิดชั่วร้ายอะไรที่จะต้องปกปิดหรือป้องกัน มันเป็นเพียงแค่การยอมรับกันและกันอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา ที่มีทั้งความสุข ทุกข์ มีความเหมือนและต่าง ทั้งขัดแย้งและกลมกลืนเหมือนๆกันกับเรา ในวงนี้ไม่มีการตัดสินดีเลวถูกผิด มีแต่การรับฟังกันอย่างลึกเพื่อทำความเข้าใจ วางตัวเองในจุดยืนและมุมมองของอีกฝ่ายเพื่อเข้าใจเขาในแบบที่เขาเป็น ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเห็นด้วยกับเขาทั้งหมด แต่เราก็จะรับฟังอย่างเปิดใจและตั้งใจ ไม่ตัดสิน และยอมรับเขาได้ในมุมมองของเขา

คิดถึงแล้วก็ยังรู้สึกดี อยากจัดวงไดอะล็อกอีกสักทีแฮะ

Tuesday, June 26, 2007

Try to be a good web admin

มีเรื่องอยากเขียนเยอะแต่ขี้เกียจจัง ดึกแล้วด้วย แต่ยังอุตส่าห์พยายามทำเป็นขยันเข้ามาเปลี่ยนหน้าตาบล็อก จะได้ดูเหมือนว่าเราใส่ใจไม่ได้ทอดทิ้งไง ราวกับจะเป็น web admin ที่ดีกระนั้น ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการเล่นโปรแกรม photoshop cs ทดลองนู่นนี่ แล้วก็เที่ยวไปหาภาพสวยๆฟรีๆ ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ หากใครสนใจแนะนำให้เข้าไปชมภาพสวยๆได้ที่ www.sxc.hu รูปสวยๆเพียบเลย

งานเว็บไซต์ที่ได้รับมอบหมายมายังไม่ไปถึงไหนเลย มัวแต่ออกแบบอยู่นั่นแหละ ประกอบกับมีเหตุให้ติดขัดนู่นนี่เป็นระยะๆ บางครั้งเราก็คงต้องเรียนรู้ที่จะหยุดพักเพื่อลับมีดให้คมนะ แต่รู้สึกว่าอาจจะพักยาวไปหน่อยแล้วกระมัง เอ้า จงสู้ต่อไปอย่ายอมแพ้!

Sunday, June 17, 2007

Multiply.com

เมื่อหลายวันก่อนได้รับเทียบเชิญ (อีเมล)จากน้องเจี๊ยบ (รุ่นน้องสมัยเรียนป.ตรี)ให้ไปเยี่ยมเว็บของเขาที่ multiply.com เราก็ลองคลิ๊กเข้าไปดู เพราะไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วออกจะแปลกใจหน่อยๆที่ได้รับเมลจากน้องเจี๊ยบ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าน้องเป็นไงบ้างกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ปรากฎว่าก่อนจะดูได้ต้องลงทะเบียนกันซะก่อน เราก็ทำตามไปแบบ เออๆเอาไงก็เอากัน ไปๆมาๆก็เลยได้กลายเป็นสมาชิกของ multiply ไปเฉยเลย แบบไม่คาดฝัน ตอนแรกที่รู้ก็มีอาการประมาณว่าอ้าว เอ๊ะ เออน่ะ อืม...มันก็ดูน่าสนุกดี ทดลองคลิ๊กไปคลิ๊กมา กดนู่นนี่มั่วๆเอา ก็เลยกลายเป็นว่าเรามีหน้าเว็บไซต์เป็นของตัวเองด้วยที่ http://athitha.multiply.com ฮะๆแบบไม่คาดฝัน (อีกที) ก็ยังงงๆอยู่ว่านี่ฉันกลายเป็นสาว cyberspace ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แค่มีบล็อกยังไม่พอ เดี๋ยวนี้หัดมีเว็บเพจส่วนตัวกะเขาด้วย แต่มันก็เป็นไปแล้ว

แต่ก็ดีเพราะที่ multiply สามารถเก็บรูปได้เยอะประมาณว่าสร้างอัลบั้มภาพได้ มีfunction ให้เล่นได้หลากหลายคล้ายๆspaces ของ hotmail แต่ว่าดีกว่าตรงที่มันเร็วกว่า แล้วก็ดูง่ายกว่ากันเยอะ ก็เลยอัพโหลดรูปเก่าๆบางรูปที่เก็บไว้ในคอมพ์ มาเก็บไว้ในเว็บด้วย

เอาเป็นว่าตอนนี้มีภาระเพิ่มขึ้นในทาง...อืม...ทางอะไรหว่า...ทางใจก็แล้วกัน ที่จะต้องหาหนทางเข้ามาอัพเดตเว็บและบล็อกของตนเองเป็นระยะๆ จริงๆก็ไม่เชิงว่าเป็นภาระหรอก แหมก็ออกจะเต็มใจปานนี้ รู้สึกว่าสนุกดีที่ได้เขียน ไม่รู้ว่านี่เป็นอาการของคนที่หาคนเป็นๆคุยด้วยไม่ได้ แล้วต้องหาทางระบายออกกับสาธารณชนผ่าน cyberspace หรือเปล่า ฮ่ะๆสงสัยถ้าจะจริง

แต่รู้สึกว่าการเขียน blog กับการเขียนไดอารี่ในสมุดมันต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งทางด้านอารมณ์และเนื้อหาที่อยากเล่า เพราะว่า blog เผยแพร่ความคิดของเราออกไปข้างนอกด้วย ใครๆก็เข้ามาอ่านได้ (ถ้าเขาอยากจะอ่านหรือ หากมีใครบังเอิญพลัดหลงทางผ่านมา) เราก็เลยจะมีการไตร่ตรองและใช้วิจารณญาณมากขึ้นว่าจะเขียนอะไร (แหม ฟังดูดีมีสาระแฮะ)มันจึงไม่ใช่แค่การเขียนระบายอารมณ์ และเวลาเขียนมันจะมีอาการสนุกมากกว่าหดหู่(เท่าที่สังเกตดูตัวเองที่ผ่านมา) เพราะรู้สึกว่าเรากำลังคุยกับเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย (ที่มองไม่เห็น) หรือหากมองอีกแง่นึงก็ดูจะเป็นการพูดคุยกับตัวเองดังๆให้คนอื่นๆได้ยิน เนื้อหาก็เลยจะออกมาในโทนที่คิดว่าเพื่อนๆน่าจะพอรับได้ ประมาณว่าบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปและประสบการณ์ที่ผ่านมาในแต่ละช่วง แล้วก็แอบหวังนิดๆว่ามันอาจมีประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย (เหอะ..อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเราไปทำอะไรมาบ้างล่ะน่า...อ้าว! ก็ถ้าไม่อยากรู้จะเข้ามาอ่านทำไมล่ะ)

ฮะๆ จริงๆแล้วกลัวว่าถ้าเกิดเขียนเจาะลึกถึงตัวตนเกินไปแล้วเพื่อนจะเลิกคบ แต่ก็ไม่แน่ต่อๆไปอาจเขียนลึกกว่านี้ก็ได้ ถ้าเกิดอาการของขึ้น (แบบไม่ต้องผ่านพิธีปลุกเสก)

Sunday, June 10, 2007

Wisdoms from God


Wisdoms from Conversation with God
Book 3


Everything that has happened in your life has happened perfectly in order for you—and all the souls involved with you—to grow in exactly the way you’ve needed and wanted to grow.

My journal: Natural Way of Love


เขียนเอาไว้นานหลายปีแล้วอีกเหมือนกัน ตอนอกหักใหม่ๆคราวนั้นก็คิดทบทวนเกี่ยวกับมันอยู่หลายวัน ตอนแรกๆก็เจ็บปวดมากสลับกันไปกับความโกรธ (เป็นภาวะธรรมชาติของอารมณ์ยามอกหักที่มักเกิดขึ้นสลับกัน ถ้าไม่เศร้าก็โกรธ ถ้าไม่โกรธก็เศร้า) แต่ตอนที่เขียนออกมาได้นั้นเป็นช่วงที่เกิดอาการปิ๊งแว๊บ คือมีญาณทัศนะบางอย่างเกิดขึ้น มองทะลุผ่านอะไรบางอย่างได้ มันเกิดการคลี่คลายและปลดเปลื้องปมบางอย่างภายในออกไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็คงเป็นสิ่งที่เราต้องเฝ้าดูมันต่อไปอีกเรื่อยๆ (และคงอีกนาน)ตราบใดที่ยังคงมีความรักและการตกหลุมรักอยู่และแน่นอนการอกหักที่ตามมา ก็ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายให้ได้เรียนรู้ต่อไปไม่สิ้นสุด

อาจารย์วรรณี(ครูทางจิตวิญญาณ)สอนว่าความทุกข์คือครูที่เราจะเรียนรู้จากมันได้อย่างมหาศาล และให้เราแปรเปลี่ยนขยะภายในใจเราไปเป็นปุ๋ยแห่งชีวิตให้ได้ คำสอนนี้ช่วยเราให้ฝ่าวิกฤตในชีวิตและประคับประคองใจเอาไว้ได้ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับพายุภายในใจตัวเอง ขอบคุณค่ะอาจารย์


บันทึกนี้เขียนโดยแรงดลใจที่ได้จาก บทสนทนากับพระเจ้า
รวมทั้งอีเมลของชมรมรักรู้ธรรม

10 May 2005

อกหัก


อกหักคราวนี้ทำให้ฉันได้พบกับรักแท้ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า ฉันได้พบกับรักแท้ที่ดำรงภายในตัวฉันเอง ฉันพบว่าความรัก ความสุข ความเบิกบานทั้งหมดที่ฉันเฝ้าแสวงหา ได้ดำรงอยู่ที่นี่แล้วภายในตัวฉันตลอดมา หลังจากผ่านการอกหักมาได้สองวัน ฉันก็ได้ตกหลุมรักอีกครั้งอย่างหมดหัวใจกับตัวเอง กับความงดงามน่ารัก กับความเบิกบาน กับปัญญา กับแสงสว่างที่ดำรงอยู่ภายในตัวฉัน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับตนเอง ช่างเป็นการพบกันอีกครั้งที่น่าประทับใจ

หากถามฉันว่า ฉันยังคงรักเขาอยู่หรือไม่ ฉันคงตอบได้ว่ายังคงรักอยู่และคงจะรักต่อไปเรื่อยๆเพราะตัวฉันคือความรักที่ปรารถนาจักได้สำแดงออกซึ่งรัก แต่ฉันเลือกที่จะยุติรูปแบบความสัมพันธ์ในครั้งนี้กับเขาลง เพราะการยุติรูปแบบความสัมพันธ์นี้ทำให้ฉันสามารถเลือกที่จะเป็นในสิ่งที่ฉันต้องการจะเป็นได้ดีกว่าและมากกว่า

หากถามฉันว่า ฉันเสียใจหรือไม่กับการตัดสินใจในครั้งนี้ ฉันคงตอบได้ว่าแน่นอนฉันรู้สึกเสียใจในตอนแรก แต่แล้วฉันก็เลือกที่จะหยุดเสียใจ พอกันทีกับความเศร้า ความเสียใจ ฉันอยู่กับมันมานานมากพอแล้ว และบัดนี้ฉันก็ได้รู้แล้วว่านั่นไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะเลือกในครั้งนี้และครั้งต่อๆไป บัดนี้ฉันขอเลือกความสุข ขอเลือกความเบิกบาน ขอเลือกความเข้าใจต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาและความรักที่มาจากพระเจ้า ขอเลือกที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆไป

หากถามฉันว่า ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นคืออย่างไร ฉันคงตอบได้ว่า ฉันได้เข้าใจว่าตัวเขาก็คือตัวฉันในอีกภาคหนึ่ง ที่กำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งการแสวงหาและการเรียนรู้ นั่นคือทางเลือกของเขา และเราไม่แตกต่างกัน

ฉันได้เข้าใจว่าความรักความใส่ใจที่เขามีให้แก่หญิงอื่นนั้นย่อมแตกต่างจากความรักที่เขามีให้แก่ฉัน และมันจะไม่มีวันซ้ำกันได้ ฉันดีใจที่ครั้งหนึ่งฉันเคยได้รักและเคยได้รับความรัก และความรักนั้นจะไม่ซ้ำกับความรักในครั้งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของเขาและของฉัน

ฉันได้เข้าใจว่าฉันได้หลงเดินเข้าไปติดกับดักความคิดแบบเก่าๆของตนเองในความสัมพันธ์ครั้งนี้ และนั่นทำให้ฉันไม่มีความสุข ทำให้ฉันร้อนรนกระวนกระวายและเป็นทุกข์ใจ เต็มไปด้วยความหึงหวง การปรารถนาที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ และหวาดหวั่นอยู่ลึกๆว่าวันหนึ่งเขาอาจจะเลิกรักฉันและจากไป ฉันหวาดกลัวความเจ็บปวดจากความคิดที่ว่าฉันจะถูกทอดทิ้งและถูกปฏิเสธ ความหวาดกลัวนี้บีบคั้นหัวใจ

บัดนี้ฉันได้เห็นแล้วว่าฉันยังไม่เติบโตและเข้มแข็งพอที่จะหลุดออกมาจากกับดักนั้นได้ ตราบใดที่รูปแบบความสัมพันธ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป ฉันได้กักขังตนเองและได้ขีดวงจำกัดเสรีภาพแห่งรักและชีวิตภายใต้รูปแบบความสัมพันธ์นั้นโดยไม่รู้ตัว และนั่นทำให้ฉันสร้างตัวตนที่น่าเบื่อ กระด้าง อึดอัดและไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา เมื่อความสัมพันธ์นั้นได้ยุติลงฉันรู้สึกราวกับว่ากับดักนั้นได้พังทลายลง ฉันสัมผัสได้ถึงเสรีภาพภายในอีกครั้ง

ฉันได้เรียนรู้ว่าหากฉันเติบโตกว่านี้ ฉันจะไม่มีวันเดินหลงเข้าไปติดกับดักใดๆได้อีก และฉันจะยังคงรักษาความสุข ความสงบ เสรีภาพและความเบิกบานภายในไว้ได้ ไม่ว่ารูปแบบความสัมพันธ์นั้นจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่ ณ เวลานี้ฉันขอน้อมศีรษะ ยอมรับกับตนเองว่าฉันเพิ่งจะเติบโตได้เพียงแค่นี้และยังต้องเติบโตต่อไป

ฉันได้เรียนรู้ว่าธรรมชาติที่แท้ในตัวฉันคือรักที่ปรารถนาจักแสดงออกซึ่งรัก ฉันคือชีวิตที่ปรารถนาจะแสดงออกซึ่งชีวิต และภายในตัวฉันคือพระผู้เป็นเจ้าที่ปรารถนาจักสำแดงออกซึ่งพระผู้เป็นเจ้า และทั้งหมดนี้คือเสรีภาพ และคือความเป็นนิรันดร์ สิ่งอื่นใดที่อยู่นอกเหนือไปจากนี้ย่อมไม่ใช่

ฉันได้เรียนรู้ว่าตัวฉันก็คือตัวเขา และฉันก็คือผู้หญิงอีกคนที่เขารักด้วยเช่นกัน เพราะเราล้วนมาจากที่เดียวกัน พระเจ้าสร้างเราจากพระองค์ในรูปแบบที่แตกต่างกันนับล้านนับพัน ณ จุดที่ไร้กาล หรือในอีกแง่หนึ่ง คือ ณ จุดแห่งกาลอันเป็นนิรันดร์ นั่นคือ ณ ที่นี่ ขณะนี้ แท้จริงแล้วไม่มีเวลาอื่นใดนอกจาก ขณะนี้ เพราะฉะนั้นเขาที่ฉันรัก และเธอที่เขารักคือคนๆเดียวกันที่ดำรงอยู่ในสภาวะที่แตกต่าง ณ ชั่วขณะเดียวกัน

ฉันได้พบว่าตัวฉันคือผู้สร้าง ฉันเลือกที่จะสร้างประสบการณ์ที่ฉันต้องการได้ ฉันเลือกที่จะรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ฉันเลือกที่จะเป็นผู้กระทำได้ พระเจ้าบอกว่า ความลับของชีวิตนั้นหาใช่การค้นพบไม่ หากแต่คือการสร้างสรรค์ คือการเลือกที่จะสร้างและเป็นในสิ่งที่เราปรารถนาจะเป็น เราทุกคนคือผู้สร้างและเรากำลังสร้างประสบการณ์และตัวเราขึ้นในทุกๆนาที ในทุกๆวัน ในทุกๆเดือนและทุกๆปี นี่คือบทเรียนสำคัญที่ฉันยังคงจะต้องเรียนรู้ต่อไป

พระเจ้าคะขอบคุณสำหรับทุกสิ่งๆและทุกๆเหตุการณ์ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ขอบคุณสำหรับคำตอบ แสงสว่าง ปัญญาและความรักที่ท่านส่งมาให้ตลอดเวลา...ในทุกๆวิถีทาง

Friday, June 8, 2007

Dhamma Talk



เมื่อเช้าฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อ ปราโมทย์ (mp3) ฟังไปก็ขำไป พยักหน้าหงึกๆหงักๆไปคนเดียวเวลาที่รู้สึกว่า “เออจริงด้วย ใช่ๆๆ” (ใครไม่รู้คงนึกว่าเราเพี้ยน)

มีอยู่ตอนหนึ่งท่านแนะนำเคล็ดลับการทำสมถะภาวนาให้ได้ดี คือ ความรู้สึกสบาย ถ้าใจสบายแล้วจิตจะสงบได้เร็ว ซึ่งท่านก็ได้แนะนำเทคนิคหลายอย่างที่ทำแล้วใจจะรู้สึกสบายขึ้น แต่มีอยู่อันที่หนึ่งที่ท่านพูดแล้วเราน้ำตาไหลเลย คือท่านว่าเวลากราบพระก็อย่าสักแต่ว่ากราบๆไป แต่ให้คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังมายืนอยู่ตรงหน้าเรา แล้วเราก็น้อมใจลงไปกราบแทบบาทท่าน

โห แค่น้อมระลึกตามที่หลวงพ่อพูด เราก็น้ำตาไหลพรากๆเลย (ตอนนั้นนั่งทานผลไม้อยู่) เพราะนี่คือหนึ่งในความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเรา คือ การได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้กราบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมและได้ปฏิบัติธรรมของท่าน (ขนาดเขียนตอนนี้ยังน้ำตาซึมเลย) ก็ไม่รู้ว่าชาติไหนถึงจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แต่จะเป็นเมื่อไรอย่างไรนั้นไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ก็ให้เพียรปฏิบัติสั่งสมไปเรื่อยๆ (เราก็ทำบ้างขี้เกียจบ้างบางที) สาธุ

Home Hug


เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ ๒-๓ มิ.ย.๕๐ ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปจัดค่ายธรรมชาติบำบัดให้เด็กๆที่บ้านโฮมฮัก (มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชนฯ)จังหวัดยโสธร ชื่อบ้านโฮมฮักนี้ดีมากๆเลยทั้งในความหมายภาษาถิ่น คืออาจแปลได้ว่า เรามารวมกันด้วยความรัก (อะไรประมาณนี้แหละ) และในภาษาอังกฤษเมื่อถ่ายถอดเสียงออกมาก็จะไปตรงกับคำว่า Home Hug ซึ่งแปลเอาความได้ว่า บ้านโอบกอด(ด้วยรัก) เราล่ะนับถือคนคิดชื่อนี้จริงๆ คิดได้เจ๋งมากๆ

ทีมเราประกอบด้วยอาสาสมัครธรรมชาติบำบัด ๕ คน คือ เรา พี่อางค์ พี่โอ๋ พี่ไหม พี่ผึ้ง (น้องสาวพี่นก นฤมล เมธีสุวกุล) แล้วก็ยังมี พระภิกษุอีก ๒ รูป คือพระสมบูรณ์ กับพระประสงค์ (พี่ไหมนิมนต์ท่านมา) ทั้งสองท่านนี้เป็นพระที่ผ่านการฝึกอบรมด้านการเป็นกระบวนกรมาไม่น้อย แต่ละท่านมีเทคนิควิธีการนำกระบวนการได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่านประสงค์นั้น มุขฮาท่านไหลลื่นมาก โชคดีที่งานนี้มีพระมาด้วย พระท่านช่วยได้สารพัดประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าจะนำเกม กิจกรรม นำสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา รับบิณฑบาตรจากเด็กๆ ปล่อยมุขฮา ฯลฯ(ให้ท่านทำงานเยอะขนาดนี้ จะบาปไหมเนี่ย)

มีเด็กๆหลายคนที่ติดเชื้อ HIV แม้สุขภาพกายจะอ่อนแอและสุขภาพใจดีมากๆ แววตายังสดใส ยังยิ้ม หัวเราะได้ร่าเริงเบิกบาน เหมือนเด็กปกติทั่วไป จนเราเองที่กะว่าจะไปเป็นผู้ให้ เป็นผู้ช่วยเยียวยาเด็กๆ กลับรู้สึกว่าตัวเองตะหากที่ได้รับการเยียวยาจากเสียงหัวเราะ จากความรัก ความสดใสของเด็กๆเหล่านี้ ใจเรามันจะเบาๆสบายๆมีความสุขอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา ๒ -๓ วันที่จัดกิจกรรมนี้

นึกถึงคำพูดของ เจ้าหวัน ลูกชายของพี่หมูที่โรงเรียนใต้ร่มไม้ จ.พัทลุง ที่ว่า "เด็กๆพร้อมที่จะรักครูอยู่ตลอดเวลา แต่ครูต่างหากที่ชอบสร้างกำแพงกั้นตัวเองเอาไว้ไม่ให้ได้รับความรักจากเด็กๆ" ก็จริงนะ เพราะเราเองก็รู้สึกได้เลยว่าเด็กๆที่นี่พร้อมที่รักและเป็นที่รัก แน่นอนว่าเด็กๆเองก็ต้องการความรักมาก เพราะขาดมาตั้งแต่เล็กๆ และต่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์ในวัยเยาว์มากมายจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด แต่เขาก็ยังมีความกล้ามากพอที่จะเปิดใจรักผู้ใหญ่คนอื่นๆได้ด้วย เราเองลึกๆแล้วรู้สึกนับถือจิตใจที่ยิ่งใหญ่และความกล้าหาญของเด็กๆไม่น้อย

และพอเอาเข้าจริงเรากลับสอนอะไรไปไม่ได้มากเท่าไร (ในแง่เนื้อหา)แต่กลับได้เรียนรู้อะไรมากมายผ่านประสบการณ์ รู้สึกทึ่งมากที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆอายุแค่ ๓-๔ ขวบ ล้างจาน กวาดบ้าน รู้หน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบช่วยเหลือตัวเองได้มากมายขนาดนี้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยประคบประหงมหรือมาจ้ำจี้จ้ำไชมากมาย เด็กโตกว่าก็จะช่วยดูแลเด็กเล็กกว่า (พี่สอนน้อง) เราทึ่งกับศักยภาพของเด็กๆมาก ถ้าพ่อแม่ที่ชอบตามใจลูกจนเสียเด็กได้มาเจอเด็กๆพวกนี้เข้า คงได้คิดอะไรบ้าง

นอกจากประทับใจกับเด็กๆแล้ว เราเองก็ได้เรียนรู้กิจกรรมและเกมส์ต่างๆมากมายสารพัดที่พระกระบวนกรและพี่ไหมของเรา (ซึ่งเพิ่งผ่านการอบรมกระบวนกรมาหมาดๆกำลังร้อนวิชา (ฮ่ะๆ)) งัดออกมาใช้หลอกล่อเด็กๆ บางเกมก็ง่ายๆมากเลย แต่สนุกสุดๆ เช่น เกม พระ ผี ผู้หญิง (คล้ายๆเป่ายิ้งฉุบ หรือ เสือ ไก่ มอด ฯลฯ แต่เกมนี้จะต้องออกท่าทางให้รู้สถานะว่าเลือกไปตัวละครตัวไหน) หรือ เกมปลาโลมา ๑ ตัว กระโดดลงไปในทะเล จึ๋ย~ หรือเกมกบ อ๊บๆ ตบพื้นก็สนุกดี เล่นง่าย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกมส์หรือกิจกรรมที่เน้นการฝึกสติด้วย

สรุปแล้วไปๆมาๆ เราว่าค่ายนี้จะเล่นเกมส์/ กิจกรรมนันทนาการกัน มากกว่าการสอนเนื้อหา แต่ก็ดีไปอีกแบบ อย่างน้อยเด็กๆ ก็ไม่ต้องทนง่วงหรือหลับนานนักในช่วงบรรยาย ผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายก้อพลอยสนุกไปด้วย บ้างก็แอบอู้งานผ่านการเล่นเกมส์เพราะขี้เกียจบรรยาย (เช่น เราเป็นต้น :-D แต่อย่างไรก็ตามทุกคนก็ได้รับความสุขกลับบ้านกันมาโดยถ้วนหน้าละน่า)

My Journal: Inspiration from books


ข้างล่างนี่ เป็นบันทึกที่เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ ๑๑ พ.ค.๔๘ เขียนจากแรงบันดาลใจที่เกิดอย่างฉับพลันในตอนตื่นนอนตอนเช้า ลืมตาขึ้นมาบนเตียงแล้วรู้สึกว่า โห!วันนี้ดีโครตๆๆเลย ทำไมรู้สึกดีกับชีวิตขนาดนี้ ราวกับทุกชั่วขณะเป็นวินาทีแห่งความอัศจรรย์ มันสดใหม่และเต็มเปี่ยม แค่ดื่มน้ำจากแก้วก็รู้สึกซาบซึ้งเสียจนน้ำตาซึม ไวกับความรู้สึกและผัสสะต่างๆมาก สัมผัสได้ถึงความเปราะบางของชีวิต ขณะเดียวกันก็มั่นคงและไว้วางใจอยู่ลึกๆข้างใน ก็เลยเกิดบันทึกหน้านี้ขึ้น อันที่จริงมันคือการตกผลึกทางความคิด+ความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่าน Conversation with God book 3 กับ Message from the Water หนังสือดีๆสามารถเปลี่ยนชีวิตได้นะเออ ลองอ่านดูเองละกัน

เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเปี่ยมรัก สัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งรักที่หลั่งรินท่วมท้นอยู่รอบๆตัวและในอากาศ รักได้หลั่งรินเข้ามาสัมผัสหัวใจ-จิตวิญญาณของฉัน นอนยิ้มอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยลุก ฉันเริ่มเรียนรู้ที่จะไม่หวาดหวั่นต่อการสูญเสียความรู้สึกนี้ไป เพราะฉันรู้แล้วว่าฉันสามารถเลือกที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ใหม่ และสร้างมันขึ้นมาได้เองในทุกๆวินาที และความรักนั้นจะไม่เคยซ้ำและไม่มีวันซ้ำ หากแต่จักเป็นประสบการณ์ที่สดใหม่อยู่เสมอ

มีดอกไม้นับล้านนับพันที่ถือกำเนิดขึ้นและคลี่กลีบบานในทุกๆนาทีที่ฉันกำลังหายใจ และโลกนี้ไม่เคยมีดอกไม้ใดซ้ำกัน และภายในดอกไม้นั้นไม่มีกลีบใดที่ซ้ำกัน ไม่มีเกล็ดหิมะ หรือผลึกน้ำหยดใดที่เหมือนหรือซ้ำกันแม้สักหยดเดียว นี่คือความอุดมสมบูรณ์แห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้า และพลังแห่งการสร้างนั้นได้ดำรงอยู่ภายในตัวฉันด้วยเช่นกัน

เช้านี้ขณะที่ฉันดื่มน้ำ ฉันพบว่าพระเจ้าคือน้ำในแก้วนี้ และตัวฉันเองก็คือน้ำในแก้วนี้ พระเจ้าคือมดที่เดินอยู่รอบๆขอบปากแก้ว และฉันก็คือมดตัวนั้น พระเจ้าได้สำแดงพระองค์ ได้ทรงเป็นและดำรงอยู่ในวิถีต่างๆในสภาวะต่างๆกันนับล้านนับพันวิถี บูม!ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว คือ ชั่วขณะนี้ เพราะแท้จริงแล้วสภาวธรรมนั้นไร้กาลและสถานที่ ฉันดื่มน้ำนั้นด้วยสำนึกขอบคุณ ฉันกำลังดื่มพระเจ้าเข้าไป และฉันกำลังดื่มตัวฉันเองเข้าไป

ฉันพบว่าฉันคือพระพุทธเจ้า ฉันคือพระเยซู ฉันคือโจรสองคนที่อยู่เคียงข้างพระเยซู ฉันคือทหารที่ทำร้ายพระเยซู คือนักบวชฟาริสสีที่วางแผนจับตัวพระองค์ คือชาวมุสลิมในภาคใต้ คือตำรวจทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาลในกรุงเทพฯ ฉันคือสุนัขจรจัดตัวนั้นที่ฉันพบทุกเช้า คือสุนัขฟันเกตัวนั้นที่มักจะรี่เข้ามาทักทายฉันอย่างดีอกดีใจทุกครั้งในทุกเช้า ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่ดำรงอยู่ ณ ที่นี่ เวลานี้ บนโลกใบนี้และในจักรวาลนี้ พระเจ้าได้เปิดเผยตัวตนของพระองค์ในการทรงสร้างอันสมบูรณ์

สิ่งใดก็ตามที่ฉันได้กระทำหรือมอบให้แก่ผู้อื่น สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาสู่ตัวฉันเอง เพราะฉันก็คือเขา และเขาก็คือตัวฉัน น่าอัศจรรย์เหลือเกิน

Inspiration to have this blog


ตะก่อนนี้ไม่เคยรู้จักเลยว่า blog คืออะไร เห็นคนอื่นเขาคุยๆกันก็เหรอๆๆ ทำหน้าเอ๋อๆ งงๆ อยู่เสมอ อะไรฟะ มันคืออะไรกันแน่ มันต่างจากอีเมล์ เว็บบอร์ดหรือเว็บไซต์ตรงไหนอ่ะ

แต่แล้วราวกับฟ้าบันดาล ช่วยไม่ให้เราโง่นานนัก เราก็เลยได้รับแรงบันดาลใจในการอยากมี blog เป็นของตัวเองเอาอีตอนที่ไปอ่านหนังสือ blog blog ของปิ่น ปรเมศวร์ หรือในอีกชื่อคือ ปกป้อง จันทวิทย์(สะกดชื่อถูกรึปล่าวเนี่ย)(http://pinporamet.blogspot.com และ http://pinporamet.wordpress.com ) ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ open เมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วก็เลยถือโอกาสเข้าไปอ่าน blog ของเขาด้วย โอ้ สนุกจัง จากนั้นก็เริ่มลามปามไปอ่านของคนอื่นๆต่ออีกมากมาย โอ้ สนุกๆๆจัง นับว่าเป็นเวทีแห่งการเปิดเผยตัวตนที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะแยะอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน (โอ้ อะไรจะปานนั้น)

พอดีพี่เล็กที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ก็มาชวนเพื่อนๆในที่ทำงานประมาณว่า เรามาเขียน blog ของตัวเองกันดีไหม เอาไว้ปะทะสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้ สาระ และเป็นเวทีวิชาการได้ด้วย (คือ พี่เล็กจะเป็นประมาณว่ามีสาระ บวกความเป็นนักวิชาการหน่อยๆๆ อืม..สมแล้วกับตำแหน่งว่าที่อาจารย์ ด็อกเตอร์ของเรา ข้าน้อยขอคารวะ) เผอิญว่า พี่เขาก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน(แฮะๆ คือ อันที่จริงมันก็คือหนังสือของพี่เขานั่นแหละ เราขอยืมเขามาอ่านอีกทีโดยไม่ขออนุญาตอีกตะหาก) ก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่ของพี่เขาดีกว่าตรงที่ว่า คิดแล้วก็พูดแล้วก็ลงมือทำด้วย ส่วนเราน่ะมัวแต่คิดๆอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ลงมือทำสักที จนพี่เล็กพูดออกมาเนี่ยแหละ ก็เลยตัดสินใจว่า เออ เอาดิ ดีเหมือนกัน คิดเงียบๆวนๆเวียนๆในใจอยู่นานแล้วน่าจะลงมือทำสักที ก็เลยเกิด blog นี้ขึ้นมา ณ บัดดล ทว่าบล็อกของเรามันจะออกแนวตามใจฉันอยู่สักหน่อย ไอ้เรื่องวิชากง วิชาการอะไร ก็คงจะหาดูได้ยาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังสนุกอยู่ดีที่ได้มี blog เป็นของตัวเองสักที ฮะๆ (โอ้ สนุกจัง มีเรื่องสนุกๆให้ทำอีกแล้วสิเนี่ย)

Monday, June 4, 2007

Success!!

เย้! ในที่สุดหลังจากใช้ความพยายามลองผิดลองถูกมากว่าครึ่งวัน ก็ทำสำเร็จจนได้ ฮะฮ้า สามารถ post รูปภาพเข้าไปใน profile ได้สำเร็จแล้ว เย้ๆๆ เก่งจริงๆลูกใครเนี่ย ขอแสดงความชื่นชมปรบมือให้ร้อยที

เฮ้อ เหนื่อยเลยเหมือนกันนะเนี่ย

วันนี้ก็คงพอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นนี้ต้องเดินทางไกลไปจัดค่ายที่ยโสธรอีก ชีวิตเรานี่มันมีดวงพเนจรหรือไร ตั้งแต่ทำงานมาก็เดินทางไม่ได้หยุดเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมโนกรรมที่ได้เคยทำไว้สมัยเรียนหรือเปล่า เพราะเคยอยากเป็นนักเดินทางเสียเหลือเกิน ใครถามว่า "จบแล้วอยากเป็นอะไร" ก็ตอบไปว่า "อยากเป็นนักเิดินทางว่ะ มีรึเปล่าล่ะอาชีิพนี้น่ะ" ชะรอยตอนนั้นหารู้ไม่ว่ามันมีจริงๆนะเฟ้ย เพียงแต่มันไม่ได้เป็นอาชีพ หากแต่เป็นลักษณะของงานที่ทำอ่ะ

Thursday, May 31, 2007

Jonathan Livingston


This photo just reminded me the seagull named Jonathan Livingston (not sure for the spelling again..).
Posted by Picasa