วันนี้ตอนเช้าจี๊ดสุดๆ ความโกรธและความไม่พอใจพุ่งปรี๊ด และยังคงดำเนินต่อเนื่องแบบกรุ่นๆ มาตลอดวัน จนถึงตอนนี้ที่กำลังเขียนอยู่
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเช้าตอนนั่งทำงานกันอยู่ เรานึกขึ้นมาได้ถึงงานที่มีคนฝากตามเรื่องมากับน้องคนหนึ่ง เราก็ตะโกนข้ามโต๊ะถามน้องคนนั้นที่นั่งอยู่ฟากตรงข้ามของห้อง (นั่งห่างกัน 4 - 5 เมตร) สมมติว่าชื่อน้องแสนดีละกัน เราถามว่า "เออ แสนดีส่งรูปไปให้ทีมนักวิ่งหรือยัง วันก่อนพี่ธงไชย (นามสมมติ)โทรมาบอกว่ายังไม่ได้รับรูปเลย"
แสนดีซึ่งในขณะนั้นอาจจะกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างอยู่ หรือไม่ก็อาจจะกำลังยุ่ง-เครียดกับงานอยู่ (ก็เดาเอาน่ะ อิฉันก็มิอาจตรัสรู้ได้ว่าเจ้าหล่อนกำลังอยู่ในภาวะเช่นไร) ก็ตะโกนสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญว่า "แสนดีส่งไปแล้ว ส่งไปให้ตั้งนานนนนนแล้วค่ะ (เธอเน้นคำว่า "นาน" เป็นพิเศษ ด้วยน้ำเสียงลากยาวและหนัก)" น้ำเสียงหงุดหงิดอย่างรู้สึกได้ชัด
พอได้ยินเสียงตอบเราก็เริ่มรู้สึกจี๊ดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว สมองอิฉันประมวลผลอย่างรวดเร็วมาก ว่า "เอ๊ะ กรูถามดีๆทำไมตอบเสียงหมาๆอย่างนี้ฟะ"
แต่ก็ถามต่อไปว่า "อ้าวเหรอ แต่เขาบอกว่ายังไม่ได้รับเลยนะ ส่งไปไม่ถึงหรือเปล่า เพราะส่งไฟล์ภาพใหญ่ๆไปส่วนใหญ่จะมีปัญหานะ"
เธอก็สวนกลับมาอย่างรวดเร็วว่า "ส่งไปแล้วค่ะ และคิดว่าถึงด้วย เพราะไม่เห็นมีอีเมลตีกลับมาเลย แสนดีส่งตรงไปที่อีเมลพี่นักวิ่งน่ะ" ด้วยน้ำเสียงประมาณว่าฉันรู้น่ะ ฉันทำเป็น ไม่ต้องมาสอนหรอก
โห เราอยากสวนกลับไปมากว่า "แล้วเอ็งโทรไปเช็คกับเขาแล้วรึว่ามันถึงแน่ เอ็งถึงได้มั่นใจขนาดนั้นน่ะ แล้วตอนที่เอ็งส่งรูปไป เอ็งได้โทรบอกเขาปล่าว"
แต่ด้วยอาการหงุดหงิดและรู้ตัวแล้วว่ากำลังโกรธแล้วเฟ้ย ขืนพูดยาวๆต่อได้เป็นเรื่องแน่เลย เราก็เลยตัดบทไปว่า " เดี๋ยวแสนดีช่วยส่งรูปมาให้เราด้วยก็แล้วกัน" ตอนนั้นคิดในใจว่า เออ เดี๋ยวฉันส่งไปให้เขาอีกทีเองก็ได้
ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนประชุมกันต่อช่วงสายๆ เราก็ถามอาจารย์เรื่องงบการจัดอบรมงานมหกรรมสันติฯ ซึ่งเป็นส่วนที่เราช่วยประสานงานอยู่ ทำนองว่า ถ้าองค์กรที่เราเชิญมาร่วมจัดบอกว่าไม่มีเงิน แล้วขอให้เราช่วยออกให้ล่ะคะ อาจารย์จะว่าอย่างไร (เราก็รู้อยู่แล้วแหละว่าหลักการคือ ไม่ออกให้ แต่อยากได้ยินคำยืนยันจากปากอาจารย์อีกที เพราะองค์กรนี้อาจารย์เป็นคนเสนอและคะยั้นคะยอให้เชิญมาเอง) อาจารย์ก็ตอบแบบฟังธงตรงตามคาดว่า ไม่ได้หรอก หลักการมีชัดเจนอยู่แล้วก็ให้ทำไปตามนั้น
น้องแสนดีเธอก็พูดแทรกขึ้นมาต่อทันทีว่า "และอย่าลืมนะคะว่าเรามีเงินเหลืออยู่แค่สองแสนแปด" ฉันก็หันไปมองหน้าเธอทันทีด้วยสีหน้าประมาณว่า "อะไร สองแสนแปดอะไร (อะไรของเอ็ง--ยุ่งอะไรด้วยเนี่ย)?" รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตะหงิดๆอีกหน ประมาณว่าไม่ใช่เรื่องของเธอเลยนะยะ ฉันไม่ได้อยากจะรู้ตัวเลขของเธอ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเงินมีไม่มาก
แล้วเราก็ขุ่นๆๆๆ ไม่พอใจและหงุดหงิดเรื่องน้องแสนดีคนนี้ต่อมาอีกทั้งวัน ทุกทีที่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงก็จะเซ็งมากๆ แล้วเรื่องอื่นๆอีกสารพัดในความทรงจำ ที่เคยรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจกับน้องคนนี้ ก้อหลั่งไหลต่อเนื่องพากันเรียงหน้ากระดานมาให้เห็นอีกเป็นสาย เป็นชุดๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลหงุดหงิด ไม่พอใจ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เราก็นั่งตุ๋นๆๆๆอารมณ์โกรธ หงุดหงิดและไม่พอใจนี้ให้ตัวเองกินมาทั้งวัน มากบ้างน้อยบ้าง (สงสารเซลส์ในร่างกายแย่เลย ตายแล้วนี่ฉันคงจะแก่ลงไปอีกหลายปี เซลส์ฉันคงจะตายก่อนอายุขัย เพราะพิษของความโกรธชนิดนี้ของตัวเองแน่ๆเลย)
เราคิดถึงขนาดว่าจะขอพูดเปิดอกกันตรงๆไปเลยดีไหม ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไรกับเธอบ้างในตอนนี้ ฉันเห็นว่าเธอเป็นคนอย่างไร และเธอได้ทำอะไรหรือมีท่าทีอย่างไรที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดบ้าง
ขอบอกว่าน้องคนนี้เขาเคยเข้าอบรม NVC - การสื่อสารด้วยรักและสันติ มาแล้ว (มันเอามาใช้ตรงไหนบ้างไหมเนี่ย)
แต่เราก้อรู้ตัวดีว่า ถ้าพูดไปตอนนี้ก็จะเป็นการพูดด้วยความโกรธ ด้วยความหงุดหงิดของเรา ไม่ได้พูดด้วยจิตใจที่ปรารถนาดีหรือเมตตาใดๆทั้งสิ้น (ในแง่ว่าตักเตือนด้วยเมตตาและปรารถนาอยากเห็นเขาดีขึ้น) และแน่นอนว่าผลลัพธ์ของมันก็จะออกมาเป็นลบแน่นอน ไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย ก็เลยข่มใจไว้ไม่ได้พูดอะไร ต้องมาหาทางระบายออกในบล็อกนี้แทน
เรายังคิดต่อไปถึงขนาดที่ว่าไม่อยากอยู่แล้วล่ะองค์กรแบบนี้ ที่มีเพื่อนร่วมงานแบบนี้น่ะ เบื่อเซ็ง เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ดูดิพลังแห่งความโกรธของเรานี่ มันบ่งการชีวิต และวิธีคิดตัดสินใจของเราได้ถึงขนาดนี้เลย
แต่ตอนค่ำพอมาคิดอีกที ถึงไปอยู่ที่อื่นๆเราก็คงต้องเจอคนประเภทนี้อีกอยู่ดีแหละ เราหนีไม่พ้นหรอก คนแบบนี้ก็มีทุกที่ น้องแสนดีเขาก็ยังมีข้อดีอื่นๆอีกหลายอย่าง ที่ทำให้เราพอจะคิดให้อภัยได้ และมองเห็นในส่วนดีของเขาอยู่ได้บ้าง (อาจจะมีมากกว่าอีกหลายๆคนในสังคมโดยส่วนเฉลี่ยด้วยซ้ำ)
เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนมีพื้นฐานจิตใจดี มีน้ำใจ ซื่อสัตย์ ฉลาด ขยัน ทำงานเก่ง ไม่เอาเปรียบคนอื่น ขวนขวายใฝ่รู้ แม้จะมีวิธีการพูดหรือทีท่าบางอย่างที่ชวนให้นึกหมั่นไส้ และไม่ชวนนึกเอ็นดูหรือไม่น่ารักเอาเสียบ้างเลยก็ตามในบางครั้ง
คือเขาจะมีทีท่ามั่นใจและมีลักษณะแข็งๆหยิ่งๆไม่ง้อใคร และมีทีท่าว่าฉันรู้ดีอยู่แล้วเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพียงบุคลิกภายนอกหรือข้อเสียของเขาซึ่งออกจะเล็กน้อย เมื่อเทียบกับส่วนดีอื่นๆที่เขามีอีกมากมาย
จะว่าไปอีกทีเขานี่แหละอาจจะกระจกเงา ที่มาสะท้อนให้เราเห็นตัวเราเองในด้านมืด ที่เราไม่เคยมองตัวเองมากก่อน เป็นบุคลิกที่เป็นปม เป็นด้านลบของเรา ที่เคยไปทำไปแสดงออกอย่างนี้เอาไว้มาก่อนแล้ว กับคนอื่นๆรอบข้างโดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนเคยมีคนสะท้อนให้เราฟังเหมือนกันแต่ตอนนั้นฟังแล้วก็ผ่าน ไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ และไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไร รู้สึกแต่ว่าฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้แหละ ใครจะทำไมหรือ ไม่ได้เดือดร้อนใครนี่
แต่คนอื่นเขาคงเซ็งและเจ็บปวดกับคำพูดและวิธีการพูดแบบนี้ของเรา
(ที่เราคิดว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่แหละ) ไปหลายรายแล้ว
จำได้ว่าเคยทำให้รุ่นพี่ที่ทำงานเก่าไม่ชอบขี้หน้าอยู่นาน โดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สาเหตุ แต่ตอนหลังพอรู้จักกันมากขึ้น ก็ดีกัน คุยกันได้ อ้อ! แล้วก็ยังมีรุ่นน้องที่ทำงานเก่าอีกคน ที่ไม่ชอบหน้าเราอย่างแรงตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน
เพราะท่าทีหยิ่งยะโส มั่นใจเกินเหตุของเราเอง
พอมาถึงตอนนี้เราก็เลยเกิดอาการจี๊ดมาก--โกรธได้นานและมากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อต้องมาเจอกับตัวเอง นึกถึงคำพูดของหมอพีร์(พี่เขาเป็นหมอดูแบบสัมผัสจิต)ขึ้นมาทันทีเลยว่า เราน่ะไปทำวจีกรรมกับคนอื่นไว้เยอะ ทำให้คนอื่นเจ็บกับคำพูดของเราไว้มาก ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องมาใช้กรรมของตัวเองบ้างแล้ว (ช่วงนี้กรรมเรื่องนี้จะมีมาให้ชดใช้เป็นหลักเลย)
การใช้กรรมที่ว่านี้ก็คือ กรรมจะส่งผลให้เราเป็นคนอ่อนไหว คิดมากและเจ็บปวดง่าย โกรธง่ายมากกับคำพูดของคนอื่นๆ ที่พูดแล้วมากระทบใจหรือสะกิดใจแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ตาม แล้วก็จะดึงเราให้จมอยู่กับความทุกข์ ความโกรธ และความเจ็บปวดนั้น ด้วยการเอาคำพูดของเขามาคิดย้ำๆซ้ำๆ วนเวียนไปมาในหัวไม่รู้จบ
สรุปก็คือทำตัวเองทั้งนั้นเลย คนพูดน่ะมันพูดจบมันก็ลืมไปนานแล้ว ไม่ได้คิดอะไรต่อแล้ว แต่ตัวเรานี่สิยังทำตัวเองให้ทุกข์ไม่หยุด ด้วยการไปเก็บเอาคำพูดของเขามาคิด มากัดกิน-ทำร้ายจิตของตนเองจนเศร้าหมองอยู่ได้อีกตั้งนาน
ถ้ายังไม่หายโง่ (คือยังคิดต่อ-โกรธต่อ)ก็ต้องทุกข์อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
สุดยอดมากเลยใช่ไหม กฎแห่งกรรมมันทำงานอย่างแม่นยำเที่ยงตรงอย่างน่าทึ่ง ชนิดที่ทำเอาเราพูดไม่ออก อึ้งไปเลย
จำได้ว่าตอนนั้นเราเคยถามหมอพีร์เหมือนกันว่า แล้วอย่างนี้เราควรทำไงดี เขาบอกว่าก็ให้อภัยเขาไปเรื่อยๆ อย่าไปผูกพยาบาทอาฆาตใครเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าใครเขาจะพูดอะไรมาก็ตาม ก็ให้วางใจให้หนักแน่นและให้อภัยเขา แล้วกรรมก็จะหมดไปเอง ไม่ต้องกังวล
ตอนนี้เห็นแล้วและเข้าใจแล้วล่ะว่า กฏแห่งกรรมมันทำงานยังไง เข้าใจแล้วว่า คำพูดที่ไม่ดีที่เป็นลบ ที่เราเคยกระทำต่อผู้อื่นนี้มันทำให้จิตของเขาเป็นทุกข์ ร้อนรนทุรนทุรายขนาดไหน เข้าใจมากๆเลย
พอเขียนมาถึงตรงนี้นะ ความโกรธที่มีต่อน้องแสนดีก็หายไปหมดแล้วล่ะ มันค่อยๆหายไปเองตั้งแต่เราเริ่มเขียนย่อหน้าแรก ที่เรานึกขึ้นมาได้ถึงความดีของน้องเขาแล้วล่ะ แล้วก็หายอย่างเป็นปลิดทิ้ง ตอนที่มาเขียนถึงกรรมของตนเองที่ได้ไปทำไว้ต่อคนอื่นๆ
ความรู้สึกสงสารเห็นใจและเข้าใจในความทุกข์ของคนอื่นๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ เราเข้าใจและมองเห็นความทุกข์ของเขาได้อย่างชัดเจน และลึกซึ้งขึ้นมากๆเลย มันเข้าใจแบบไม่ต้องใช้คำพูด (เพราะคำพูดมีไม่พอที่จะอธิบายได้) รู้สึกว่าอยากก้มลงไปกราบขอโทษ และขออโหสิกรรมต่อทุกๆคนที่เราเคยพูดไม่ดี ทำไม่ดีต่อเขาไว้ทั้งหมดในตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ
โหย ตอนนี้จิตใจมันโล่งและเบาสบายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างกับนรกและสวรรค์เลย วันนี้เราทำตัวเองให้ตกนรกมาเกือบทั้งวันแล้ว
โชคดีนะนี่ที่ยังกลับลำได้ทัน มาฉุดตัวเองให้ขึ้นสวรรค์ในช่วงท้ายๆก่อนจะหมดวันนี้ สาธุ
ขอบพระคุณมากค่ะ ขอบคุณจักรวาล พระธรรมะธรรมชาติ ขอบคุณน้องแสนดี หมอพีร์ ทุกๆสิ่งและทุกๆคน ที่มาช่วยสอนและมาทำให้ลูกได้เห็นตัวเองชัดเจนขึ้นในวันนี้ ขอบคุณๆมากๆ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆเลย และมีความสุขเกิดขึ้นมาในจิตใจเยอะมากๆ ขอบคุณค่ะ